xs
xsm
sm
md
lg

“กอ.รมน.ภาค 4” ต้องปรับยุทธการปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจ?!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การก่อวินาศกรรมกลางดึกของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่หน่วยงานรัฐยังทำได้แค่เพียง ตั้งรับ ในภาพเป็นเหตุการณ์เผาโรงงานยางพาราที่ จ.ยะลา เมือคืนวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา
 
โดย...ไม้  เมืองขม
 
สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน 2 ลักษณะด้วยกัน
 
ส่วนแรกคือ แนวร่วม และแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน วางเป้าหมายไว้ที่การสร้างความสูญเสียให้แก่เจ้าหน้าที่ เช่น ตำรวจ ทหาร และกำลังของฝ่ายพลเรือนอย่าง อส., ชรบ., ผู้นำท้องที่ และประชาชนทั่วไปที่มีทั้งสายข่าวของรัฐ และเป้าหมายอ่อนแอ ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการตอบโต้ แก้แค้น เมื่อขบวนการเกิดความสูญเสีย และเชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
 
ส่วนที่สองคือ เป้าหมายการทำลายล้างทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในพื้นที่ นั่นคือ การวางระเบิด  การเผาโรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า โชว์รูมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ห้างขายเฟอร์นิเจอร์ ย่านการค้าของชาวไทยเชื้อสายจีน และของชาวไทยพุทธ รวมทั้งโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้นเพียงจังหวัดสตูลเท่านั้น
 
ล่าสุด คือการวางระเบิดนราแก๊ส โรงงานบรรจุแก๊สหุงต้มในพื้นที่ อ.เมือง จ.นราธิวาส ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างรุนแรง รวมทั้งมีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายไปด้วยกว่า 10 หลังคาเรือน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน แนวร่วมก็ได้วางเพลิงโรงงานยางพารา โรงเลื่อย โรงไม้ยาง โชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ โชว์รูมรถจักรยานยนต์ และร้านค้าของคนไทยพุทธต่างๆ พร้อมกันในพื้นที่ จ.ยะลา จ.ปัตตานี และ จ.สงขลา จนกลายเป็นจุลมหาจุลมาแล้วครั้งหนึ่ง
 
หากสังเกตให้ดีจะพบว่า “ธง” หรือ “ยุทธศาสตร์” ของขบวนการก่อการร้ายภายใต้การนำของ “บีอาร์เอ็น โคออดิเนต” คือ การทำลายฐานเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนในพื้นที่ 4 จังหวัดเป็นสำคัญ
 
ตลอดเวลา 9 ปีที่ผ่านมา โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม ศูนย์การค้า สถาบันการเงิน คอนวิเนียนสโตร์ ห้าง ร้าน และย่านการค้าจำนวนมากที่ได้กลายเป็นเหยื่อในการสร้างสถานการณ์ จนเกิดความสูญเสียทางทรัพย์สิน และการลงทุนอย่างมหาศาล เจ้าของกิจการหลายคนถึงกับหมดตัว และแม้แต่อุตสาหกรรมประมงที่เป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของจังหวัดปัตตานี เรือประมงที่ลอยลำอยู่ที่ท่าเทียบเรือก็ถูกก่อวินาศกรรม ทั้งด้วยการวางเพลิง และวางระเบิดมาแล้ว
 
จากสถานการณ์จากความเคลื่อนไหวของขบวนการ และจากการข่าวที่มีการติดตามตรวจสอบของหลายหน่วยงานต่างเชื่อว่า การก่อการร้ายโดยการวางเป้าหมายไว้ที่การวางเพลิงและวางระเบิดโรงงานอุตสาหกรรม หรือธุรกิจการ ค้าการ และลงทุนทุกประเภทที่เป็นของคนไทยเชื้อสายจีน และของชาวไทยพุทธ เป้าหมายเหล่านี้จะถูกรุกราน และทำลายล้างมากยิ่งขึ้น
 
เพราะเป็นแผนการของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ต้องการ “ขับไล่” นายทุนท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “ทุนเก่า” ที่ดำเนินธุรกิจการค้ามาอย่างน้อย 2 ชั่วอายุคน
 
อันเป็นไปตาม “ยุทธศาสตร์” ของการปลุกระดมมวลชน และการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายการเมืองของขบวนการ ที่ต้องการชี้ให้มวลชนของเขาเห็นว่า ทุนเหล่านี้เป็นของนายทุนต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ที่อยู่ในพื้นที่ด้วยการเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ ด้วยการกอบโกยทุกอย่างจากคนในพื้นที่ จนกลายเป็นความมั่งคั่งของคนไม่กี่ตระกูล และถึงเวลาแล้วที่จะต้องขับไล่ทุนเหล่านี้ออกไป
 
นี่คือวิธีการใช้ในการปลุกระดมของแนวร่วมที่มีต่อมวลชนในพื้นที่ เพื่อให้เห็นผิดเป็นชอบ และลงมือก่อการร้าย ก่อกวนต่อเจ้าของธุรกิจการค้า และการลงทุนในพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานของรัฐยังไม่มีแผน หรือนโยบายที่ดีต่อการ “ป้องกัน” เชื่อว่าในอนาคตจะส่งผลเสียที่ร้ายแรงต่อภาคเศรษฐกิจการลงทุนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน
 
สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ แม้จะมีการการเผา การวางระเบิดโรงงานอุตสาหกรรม และธุรกิจการค้าอื่นๆ ในพื้นที่ 4 จังหวัดอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่เห็นแผนงานการป้องกัน หรือการพิทักษ์ความปลอดภัยให้แก่นักลงทุน หรือเจ้าของธุรกิจการค้าในพื้นที่จากหน่วยงานของรัฐที่มี “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เป็นเจ้าภาพอย่างชัดเจน
 
แต่กลับมีสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นชัดขึ้นคือ ทุกครั้งที่เกิดเหตุเผาวางระเบิดทำลายโรงงาน ย่านเศรษฐกิจการค้า จะพบว่า หน่วยงานรัฐไม่เคยมีการวางแผนป้องกันเหตุ แสดงชัดว่าไม่เคยสรุปบทเรียนที่ผ่านมา เพื่อวางแผนรับมือกับเหตุที่จะเกิดขึ้นแต่อย่างใด
 
ดังนั้น สิ่งที่ทุกหน่วยงานต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องทำคือ การทำแผนร่วมกับเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และเจ้าของธุรกิจการค้า เพื่อร่วมมือกันในการป้องกันเหตุร้าย เพราะปัจจุบันมีแต่เจ้าของธุรกิจเพียงฝ่ายเดียวที่ป้องกันทรัพย์สินของตนเอง ด้วยการติดตั้งกล้องวงจรปิด และจ้าง รปภ.ป้องกันเหตุร้าย
 
โดยหน่วยงานของรัฐทั้งในท้องถิ่น และส่วนกลางไม่ได้มีส่วนในการรับผิดชอบแต่อย่างใด ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และย่านการค้าต่างๆ ไม่ได้มีมากมายจนไม่สามารถที่จะจัดกำลังร่วมระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อป้องกันอย่าให้เกิดความสูญเสียขึ้น
 
และสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่อยากเห็นคือ การจัดกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และพลเรือนลาดตระเวน ตรวจสอบเส้นทาง และย่านชุมชนที่สำคัญๆ ในเวลากลางคืน ซึ่ง ณ วันนี้ภาคประชาชนมีการ วิพากษ์วิจารณ์กันมากกว่า กองทัพ ตำรวจ และฝ่ายปกครองไม่ได้มีการร่วมมือกันในการจัดกำลังออกลาดตระเวนเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชน และที่สำคัญเพื่อมิให้แนวร่วมสามารถเคลื่อนไหวเพื่อก่อการร้ายอย่างเสรี
 
วันนี้จึงกลายเป็นว่า เวลากลางวันเป็นของเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนเวลากลางคืนเป็นของแนวร่วมในการออกปฏิบัติการก่อการร้าย
 
แถมหลังจากการก่อการ้ายเสร็จก็สามารถปลุกระดมว่า เป็นการสร้างสถานการณ์โดยเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การติดป้ายผ้า แผ่นปลิว และปักธงโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐคืนละหลายร้อยจุด จนสร้างความเคลือบแคลงแก่คนในพื้นที่ว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างสถานการณ์ เพราะเชื่อว่าโจรคงทำในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เนื่องจากมีกำลังทหารตั้งฐานปฏิบัติการเต็มไปหมด อีกทั้งชาวบ้านไม่รู้ว่า เมื่อถึงเวลากลางคืนเจ้าหน้าที่ไม่มีการส่งกำลังออกลาดตระเวนป้องกันการก่อเหตุร้ายแต่อย่างใด
 
ดังนั้น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องปรับ “แผนยุทธการ” ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และต้องยอมรับความจริงว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่การก่อเหตุไม่สงบ แต่เป็นการก่อการร้าย และการต่อสู้เพื่อยุติการก่อการร้ายต้องมีความสูญเสียเกิดขึ้นต่อกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์บ้าง
 
การที่กองทัพเอาแต่จะมุ่งรักษากำลังพล และยุทโธปกรณ์เพื่อมิให้สูญเสีย ด้วยการตั้งมั่นในฐานปฏิบัติการในตอนกลางคืน แล้วปล่อยให้เกิดเหตุร้ายในพื้นที่ เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชน นั่นคือ การทำลายความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อหน่วยงานรัฐ หรือที่มีต่อกองทัพนั่นเอง
 
แล้วท้ายที่สุด สถานการณ์อาจจะพัฒนาไปจนสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของขบวนการแบ่งแยกดินแดน คือ ให้ถอนทหารออกไปจากพื้นที่ เพราะคนในพื้นที่เห็นว่าไม่ได้ประโยชน์จากการที่มีกำลังทหารอยู่ในพื้นที่ เพราะกองกำลังที่มีอยู่ยังไม่สามารถพิทักษ์ชีวิต และทรัพย์สินของเขาให้มีความปลอดภัยอย่างที่ต้องการได้.
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น