คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
สังคมไทยเป็นสังคมพันทางระหว่างวิถีตะวันออกปะทะกับวิถีตะวันตกในทุกบริบท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษาและวัฒนธรรม ที่เป็นเช่นนี้เพราะผลจากการแผ่ขยายของอารยธรรมจากโลกตะวันตกที่เข้ามาครอบงำสังคมไทย และสังคมด้อยพัฒนาทั้งหลายทั่วโลก
ในมหาวิทยาลัยอันได้ชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของชนชั้นปัญญาชน (ตามความเข้าใจของพวกเขาด้วยกันเอง) ก็มีสภาพไม่แตกต่างไปจากนอกรั้วมหาวิทยาลัย ว่ากันว่า “มหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร สังคมก็เป็นอย่างนั้น” ขณะเดียวกัน “สังคมเป็นอย่างไร มหาวิทยาลัยก็เป็นอย่างนั้น”
ในขณะที่มหาวิทยาลัยไทยกำลังเผชิญหน้ากับความตกต่ำในเรื่องของการบริหารจัดการ จนต้องแสวงหาทางออกโดยการมีสภามหาวิทยาลัยมาเป็นผู้กำกับ มีการนำแนวคิด “มหาวิทยาลัยในกำกับ” หรือ “มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ” มาบริหารจัดการมหาวิทยาลัย แทนระบบราชการที่เผด็จการ และล้าหลัง ไม่เหมาะกับการจัดการศึกษาของชาติในระดับสูงสุดที่เรียกว่า “สถาบันอุดมศึกษา”
ขณะนี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในเรื่องของกระบวนการสรรหา ที่นำมาใช้ในการคัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมเข้าสู่อำนาจในการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยทุกระดับ โดยผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาคม การแปรรูปมหาวิทยาลัยจากมหาวิทยาลัยของรัฐ ไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐบาล คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการสรรหาในมหาวิทยาลัยต่างออกมากวักมือเย้วๆ เรียกให้บุคลากรในมหาวิทยาลัยเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ตำแหน่งผู้อำนวยการ คณบดี อธิการบดี ผู้ทรงคุณวุฒิ และนายกสภามหาวิทยาลัย
แต่น่าอนาถใจที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากบุคลากรสักเท่าไหร่ และที่เข้าร่วมส่วนใหญ่ก็ได้แต่นั่งฟังคนเพียงไม่ถึงสิบคน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเสนอความเห็น ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผู้รับฟังอาจจะฟัง แต่ไม่เคยได้ยิน เพราะไม่เคยนำไปประกอบการตัดสินใจในตำแหน่งต่างๆ เหล่านั้นแม้แต่น้อย
แต่ที่น่าสนใจคือ บุคลากรในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศไทย กลับให้ความสนใจกับกิจกรรมเซ่นไหว้เจ้าแม่ เจ้าพ่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัย เช่น เจ้าพ่อมอดินแดง ขอนแก่น เจ้าแม่โจ้ สิงโตทองธรรมศาสตร์ และปู่เลียบ มหาวิทยาลัยทักษิณ ถึงขนาดจัดงานทำบุญเซ่นไหว้ประจำปี
ปีนี้ฝ่ายบริหารวิทยาเขตสงขลา มีใบปิดประกาศเชิญชวนร่วมทำบุญเซ่นไหว้ปู่เลียบในวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2556 โดยมีกำหนดการตั้งแต่เวลาแปดโมงเช้า ผู้บริหาร บุคลากร นิสิต และแขกผู้มีเกียรติพร้อมกัน ณ ลานปู่เลียบ (ภายในมหาวิทยาลัย หน้าตึกคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) เวลาแปดนาฬิกาสามสิบนาทีเริ่มพิธีเซ่นไหว้ ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย (ไม่ทราบว่าใครเป็นประธาน แต่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นผู้บริหารระดับอธิการบดี รองอธิการบดี หรืออย่างน้อยคณบดี) พระสงฆ์ห้ารูปเจริญพระพุทธมนต์ สวดมนต์ไหว้พระ และพิธีกรรมตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวพุทธ (แนวพิธีกรรมบูชา)
สิ่งที่น่าสนใจคือ จำนวนคนที่จะเข้าร่วมพิธีกรรม ความจริงจังของการเตรียมงานมีความแตกต่างกันกับหนังสือเชิญชวนเข้าประชุมเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ ลงวันที่ 4 มีนาคม 2556 ที่มีมาถึงบุคลากรสถาบันทักษิณคดีศึกษา วันที่ 6 มีนาคม 2556 และให้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวในวันที่ 15 มีนาคม 2556 และ 18 มีนาคม 2556 โดยใช้เวลาเท่ากันกับพิธีเซ่นไหว้ปู่เลียบคือ ประมาณ 3 ชั่วโมง แต่เริ่มช้ากว่าชั่วโมง และไม่มีใบปิดประกาศอย่างงานปู่เลียบ ซึ่งออกมาก่อนหน้านี้เป็นสองสามสัปดาห์แล้ว
พิธีกรรมเซ่นไหว้ปู่เลียบของฝ่ายบริหารวิทยาเขตสงขลา มหาวิทยาลัยทักษิณ กับพิธีกรรมการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ ของคณะกรรมการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ เป็นภาพสะท้อนถึงรูปธรรมของ “คุณภาพของบุคลากร” ของมหาวิทยาลัยทักษิณ ทั้งในระดับผู้บริหาร ผู้กำกับ และผู้ปฏิบัติได้เป็นอย่างดีว่า พวกเขาฝากชีวิต และชะตากรรมไว้กับ “ความเชื่อดึกดำบรรพ์” มากกว่า ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการในระบบโลกสมัยใหม่ที่ทั่วโลกการยอมรับ แม้ว่าพวกเขาจะมีระดับการศึกษาสูงถึงปริญญาเอก ปริญญาโท และปริญญาตรีอย่างเทียบกันไม่ได้กับชาวบ้านในเขตรอบนอกรั้วมหาวิทยาลัย แต่ปรากฏว่า พวกเขาก็ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากชาวบ้านเหล่านั้น ที่ชาตินี้ไม่มีโอกาสจะได้รับการศึกษาในระดับดังกล่าว
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำกล่าวของผู้อาวุโสแห่งวงการศึกษาไทย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยทักษิณที่เคยร่วมวงศ์วานว่านเครือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ดร.สาโรช บัวศรี) ที่ว่า “ความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติบ้านเมือง จะมีเกินคุณภาพของประชากรไปไม่ได้” ย่อมเป็นสัจธรรมตอกย้ำให้เห็น “ความเป็นมา ความเป็นอยู่ และความเป็นไป” ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
ขณะนี้ มหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังถูกบริหารจัดการโดยสภามหาวิทยาลัยที่ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ เพราะ สกอ.ท้วงติงให้ทบทวนเรื่องคุณสมบัติของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิส่วนใหญ่ และนายกสภามหาวิทยาลัย รวมทั้งหนังสือคัดค้านของกรรมการสภาคณาจารย์ และพนักงานมหาวิทยาลัยทักษิณ แต่คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยชุดนี้ และอธิการบดีที่กำลังจะหมดวาระรอบที่สอง ก็ได้ดำเนินการในเรื่องสำคัญๆ ไปมากมาย โดยเฉพาะการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ที่ครบวาระลง ทั้งในส่วนงานวิชาการ และส่วนงานอื่น
รวมทั้งกำลังจะสรรหาอธิการบดี ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญสูงสุดของการบริหารจัดการมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจตั้งคำถามถึงความเหมาะสม ไม่เหมาะสม เกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากบุคลากรเพียงหยิบมือที่ทนดูความไม่สมประกอบไม่ได้ ได้ทำหนังสือถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
จึงอยากเรียกร้องให้สภาคณาจารย์ และพนักงาน องค์กรที่เป็นตัวแทนอันชอบธรรมของบุคลากรได้แสดงบทบาทเป็นปากเสียงแทนประชาคมอย่างสมศักดิ์ศรี มีเกียรติภูมิ เพราะถ้าพวกท่านไม่ทำหน้าที่ก็ไม่รู้ว่าประชาคมนี้จะไปร้องหาความชอบธรรมจากใคร นอกจากปู่เลียบที่ไร้หลักประกันอย่างยิ่งสำหรับการเผชิญหน้ากับกลุ่มผลประโยชน์ที่ชื่อ “สภามหาวิทยาลัย” และ “ผู้บริหารมหาวิทยาลัย”