คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
สังคมไทย โดยเฉพาะสังคมภาคใต้ในอดีต มีคตินิยมเกี่ยวกับจารีตทางเพศที่เคร่งครัด ดังจะเห็นได้จากกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในสถาบันครอบครัว ผ่านทางเพลงกล่อมเด็ก สุภาษิตสอนหญิง แม้แต่การละเล่นพื้นบ้าน ต่างสอนจรรยามารยาทชาย-หญิงทั้งสิ้น เช่น หนังตะลุง แม้ว่าตัวละครของหนังตะลุงจะทำจากหนังวัวหนังควาย แต่เมื่อนายหนังสวมวิญญาณของพระเอก นางเอก บนโรงหนังตะลุงจะไม่ยอมให้พระเอกนางเอกหนังวัวหนังควายเหล่านั้น ได้เสียกันบนพื้นดิน พื้นทราย ถึงจะประสบพบรักกันกลางป่ากลางเขา ก็มักจะดลบันดาลให้พบขนำร้างอยู่เสมอ เพราะนายหนังมีความเชื่อทางจารีตนิยมว่า การได้เสียกันกลางดินกลางทราย หรือมีเพศสัมพันธ์กัน โดยหลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสัมผัสพื้นหญ้า หรือแตะดิน แตะทราย เป็นการสมสู่ของเดรัจฉาน ลูกที่มาเกิดก็จะเป็นเดรัจฉานด้วย (หนังอิ่มเท่ง)
ตำนานนางโนราจึงพบว่า นางโนราถูกลอยแพ เพราะท้องไม่มีพ่อ คนใต้จึงมีคตินิยมจารีตทางเพศที่เคร่งครัดกว่าคนภาคอื่นมาแต่โบราณ ดังจะเห็นได้จากการที่ลูกสาวคนใต้หนีตามผู้ชาย โดยไม่ผ่านการสู่ขอตามประเพณี ญาติที่เป็นผู้ชายจะโกรธแค้นถึงกับตามฆ่า และในยุคที่เริ่มมีอาชีพขายบริการทางเพศ ผู้หญิงชาวใต้คนใดประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ หรือที่คนใต้เรียกว่า “กะหรี่” จะถูกญาติตามฆ่า จึงมักไม่พบว่าในซ่องโสเภณีตามท่าเรือตังเก หรือในเมืองทั่วภาคใต้ มีหญิงบริการ หรือ “กะหรี่” ที่เป็นสาวใต้
แต่นั่นคือคตินิยมจารีตทางเพศของคนใต้ในอดีตเมื่อประมาณกึ่งศตวรรษที่ผ่านมา แต่หลังยุคแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คตินิยมจารีตทางเพศของชาวใต้ก็เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับดินแดนด้อยพัฒนาอื่นๆ นั่นคือ การละเมิดสามีภรรยาของคนอื่น หรือการผิดศีลห้า กลายเป็นเรื่องปกติของคนใต้ในทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่ในแวดวงครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ทรงคุณวุฒิในสถาบันอุดมศึกษา ครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์
จึงไม่แปลกที่ในหลายหน่วยงานมีเรื่องซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงาน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยา กับสามี หรือภรรยาของคนอื่น บ่อยครั้งที่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายมาชี้หน้าด่าอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนว่า หน้าด้านไปแย่งสามีหล่อน
ที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือ คนที่เป็นครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ มีชื่อเสียงระดับชาติบางคน มีพฤติกรรมชั่วร้ายกับลูกศิษย์ของตน โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานมาต่อรองหลอกเอาเงินบ้าง ให้เอาผลประโยชน์บางอย่างบ้าง หรือแม้แต่พยายามให้ปรนเปรอสนองตัณหากามารมณ์ของตน เพื่อแลกกับการอนุมัติปริญญานิพนธ์ระดับปริญญาโทบ้าง สิ่งเห่ลานี้เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย และสังคมคนใต้ในปัจจุบัน จนมีคำร่ำลือกันว่า อาจารย์บางท่าน “เอาเกรดแลกเซ็กซ์” ก็มีให้ได้ยินอยู่เป็นประจำ
เมื่อก่อนใครก็ตาม ไม่ว่าผู้หญิง หรือผู้ชาย หากมีเรื่องมัวหมองเกี่ยวกับจารีตทางเพศ จะถูกปฏิเสธและก่นประณามจากสังคม ไม่ให้ลูกหลานคบค้าสมาคมด้วย และจะสอนลูกสอนหลานไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง แต่ปัจจุบัน เนื่องจากความตกต่ำในคตินิยมจารีตทางเพศ เพราะผู้มีอำนาจในบ้านเมืองส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นส่วนใหญ่ มีความนิยมชมชอบในรสนิยมทางเพศจนเคยตัว ทำให้คนที่มีความมัวหมองในคตินิยมจารีตทางเพศ สามารถจะเชิดหน้าชูตาเข้ารับตำแหน่งที่มีเกียรติอย่างไร้ยางอาย รวมทั้งผู้สนับสนุนคนจารีตทางเพศบกพร่องเหล่านี้ ก็ดูเหมือนจะไม่สนใจไยดีต่อความรู้สึกขยะแขยงของคนที่ยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดีในสังคมปัจจุบัน
เมื่อไม่นานมานี้ ข้าพเจ้าได้ยินผู้หญิงวัยสาวใหญ่ 2 คนนั่งปรับทุกข์กัน พอได้ยินว่า “หนักใจจังเรา มีลูกสาว 3 คน แต่ยังไม่มีลูกเลยสักคนเลย” แม่ที่มีลูกสาว 3 คนเปรยขึ้นกับแม่ที่มีลูกสาวคนเดียว “ผิดกับเรา เรามีลูกสาวคนเดียวแต่มีลูกเขย 3 คนแล้ว” แม่ที่มีลูกสาวคนเดียวสวนกลับพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ
ข้าพเจ้ายังคิดไม่ออกจนถึงวันนี้ว่า แม่คนไหนประสบความสำเร็จ แม่คนไหนประสบความล้มเหลวในชีวิตของการเป็นแม่คน แต่ที่แน่ๆ คือ วันนี้เรื่องบัดสีบัดเถลิงแบบนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วจริงๆ
ถือเป็นความตกต่ำ หรือจุดจบของสังคมคตินิยมจารีตทางเพศที่เคยเคร่งครัดยิ่งอย่างภาคใต้ แล้วจริงๆ-อนิจจา (หรือข้าพเจ้าผิดปกติอยู่คนเดียว คนอื่นล้วนปกติ).