ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - กางหนังสือยกเลิกสัญญาจ้างของ “ศาลาสมุย” ที่คนตระกูล “จิราธิวัฒน์” ไฟเขียวให้ GM ฝรั่งหัวแดงปลดออก “เพชรฤดี เคนนาเมอร์” หญิงท้องแก่ตัวเล็กๆ ผู้หาญกล้าลุกขึ้นท้าทายความไม่เป็นธรรม เผยล้วนแต่ตั้งข้อกล่าวหาร้ายแรง แถมยังใช้คำป้ายสีได้เจ็บจี๊ดชนิดที่คนไทยยังต้องอึ้งว่า “หยาบโลน” “ผิดวัฒนธรรมประเพณี” และ “ลบหลู่หยาบคาย”
ภายหลัง “ASTVผู้จัดการภาคใต้” รายงานข่าวกรณีโรงแรมศาลาสมุย รีสอร์ทแอนด์สปา 1 ในโรงแรมหรูเครือศาลากรุ๊ปของตระกูล “จิราธิวัฒน์” ที่มีนางศุกตา จิราธิวัฒน์ ภรรยาของนายทศ จิราธิวัฒน์ นั่งบริหารงานอยู่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท ศาลาสมุย จำกัด โดยบริษัทได้มีหนังสือเลิกจ้างนางเพชรฤดี เคนนาเมอร์ อดีตผู้จัดการแผนกสปาที่กำลังตั้งท้องได้ราว 7 เดือน แล้วผู้ได้รับผลกระทบลุกขึ้นต่อสู้ด้วยการเดินสายร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยังหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนมากมาย ซึ่งได้กลายเป็นข่าวฉาวไปแล้วนั้น
ต่อกรณีนี้ มีการตั้งข้อสงสัยหนาหูว่า ข้อกล่าวหาที่เป็นสาเหตุแห่งบอกการเลิกจ้างอดีตผู้จัดการแผนกสปาของโรงแรมศาลาสมัยฯ ดังกล่าวมีอะไรบ้าง ทำไมจึงส่งผลให้นางเพชรฤดีจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม อันเป็นเหตุให้ต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องเกียรติ และศักดิ์ศรีตนเอง เพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องนี้ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” จึงขอนำเนื้อหาในหนังสือยกเลิกสัญญาจ้างของบริษัท ศาลาสมุย จำกัด ที่ส่งถึงนางเพชรฤดีมานำเสนอดังนี้
หนังสือดังกล่าวใช้กระดาษ A4 จำนวน 2 แผ่นที่ด้านบนมีสัญลักษณ์ และข้อความว่า SALA SAMUI ในหน้าแรกด้านบนกึ่งกลางหน้ากระดาษใช้หัวข้อด้วยอักษรตัวใหญ่ว่า “หนังสือยกเลิกสัญญาจ้าง” ต่อด้วยด้านขาวระบุ เขียนที่ บริษัท ศาลา สมุย จำกัด ที่ตั้ง 10/9 หมู่ที่ 5 ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ลงวันที่ 22 สิหาคม พ.ศ.2555 เรื่อง ยกเลิกสัญญาว่าจ้าง เรียน นางเพชรฤดี เคนนาเมอร์ ซึ่งข้อความตอนหนึ่งที่ถือเป็นข้อกล่าวหาสำคัญระบุว่า
บริษัทฯ ขอยกเลิกสัญญาว่าจ้างกับท่าน อันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนข้อบังคับของทางโรงแรมดังต่อไปนี้
ฝ่าฝืนข้อบังคับประเภท “ก” 1.หน่วงเหนี่ยว หรืออิดเอื้อน เถลไถลในการปฏิบัติงาน ฝ่าฝืนข้อบังคับประเภท “ค” 2.ไม่เชื่อฟัง ขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ฝ่าฝืนข้อบังคับประเภท “ง” 1.ประพฤติ หรือปฏิบัติตน หรือบริการแขก หรือพนักงานอื่นในลักษณะหยาบโลน หรือผิดวัฒนธรรมประเพณีของการดูแลบริหารจัดการกับลูกค้า 2.เจตนาไม่สุภาพ ลบหลู่หยาบคาย อวดดี หรือไม่ให้ความสำคัญในการดูแลต้อนรับแขกของรีสอร์ท
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของทางบริษัท ดังนั้น ทาง “นายจ้าง” จึงขอยกเลิกสัญญาว่าจ้างตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2555 เป็นต้นไป
ส่วนในแผ่นหลังด้านล่างมีช่องให้ลงชื่อ 3 ช่อง แต่มีการลงนามกำกับเพียง 2 ช่องคือ ด้านซ้ายมือช่องแรกมีข้อความเหนือลายเซ็นว่า “บริษัท ศาลา สมุย จำกัด” แล้วตามด้วยลายมือชื่อของ Mr.Dick Simarro ระบุว่าเป็น “ผู้รับมอบอำนาจนายจ้าง” ซึ่งก็มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไป (GM) ของโรงแรมศาลาสมุย รีสอร์ทแอนด์สปานั่นเอง ช่องที่สองถัดลงไปเป็นการลงลายมือชื่อของนายธีรพงษ์ บ่อแก้ว ระบุว่าเป็น “พยาน/ผู้ประสานงาน ผู้จัดการแผนกทรัพยากรบุคคลส่วนภูมิภาค” แต่ช่องสุดท้ายด้านขวามือในฐานะ “ลูกจ้าง” ไม่มีการลงลายมือชื่อกำกับจากนางเพชรฤดี เคนนาเมอร์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ คนวงในโรงแรมศาลาสมุยฯ ให้ข้อสังเกตว่า ข้อกล่าวหาทั้ง 4 ข้อถือว่ารุนแรงมาก และเกินที่ใครที่ถูกให้ออกจากงานจะรับได้ และเมื่อไปตรวจสอบกับระเบียบข้อบังคับของทางโรงแรมพบว่า มีการระบุไว้ชัดเจนว่า ในข้อกล่าวหาฝ่าฝืนข้อบังคับประเภท “ก” และ “ค” หากพนักงานคนใดกระทำ ก่อนจะลงโทษให้ออกจากงานฝ่ายบริหารจะต้องมีการว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจาก่อน แล้วตามด้วยการว่ากล่าวตักเตือนอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนข้อกล่าวหาฝ่าฝืนข้อบังคับประเภท “ง” ถ้าพนักงานคนไหนกระทำทางโรงแรมสามารถให้ออกจากงานโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้
“ทราบมาว่า กรณีผู้บริหารฝรั่งบอกเลิกจ้างครั้งนี้ Mr.Dick Simarro รวมถึงผู้บริหารคนอื่นๆ ไม่เคยมีการว่ากล่าวตักเตือนนางเพชรฤดีทั้งด้วยวาจา และลายลักษณ์อักษร แต่อยู่ๆ ก็ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาเลย แถมเมื่อใช้ข้อหาหนักในประเภท ง ก็ไม่ควรจะจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้าง แต่นี่ในหนังสือระบุชัดเจนว่า ให้มีการจ่ายตามสิทธิที่ควรจะได้รับทั้งหมด เรื่องนี้จึงเป็นที่สงสัยว่า แท้ที่จริงแล้วข้อกล่าวหาที่หยิบยกขึ้นมาอ้างเพื่อเลิกจ้างเท่านั้น เป็นเรื่องที่นางเพชรฤดีกระทำจริงหรือไม่ โดยเฉพาะกับข้อความที่ว่า หยาบโลน ผิดวัฒนธรรมประเพณี ลบหลู่หยาบคายนี่”
ด้านนางเพชรฤดีกล่าวออกความเห็นในเรื่องนี้ว่า ความจริงแล้วถ้าทางเจ้าของ และผู้บริหารต้องการให้ตนพ้นจากโรงแรมแบบไม่ตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงแบบนี้ แล้วจ่ายชดเชยตามกฎหมาย ตนก็คงยอมรับได้ แล้วจะไม่ลุกขึ้นต่อสู้อะไรด้วย แต่พอเห็นข้อหาแล้วรับรู้ได้ทันทีว่าไม่เป็นความจริง และปราศจากการไต่สวนตามกระบวนการที่ถูกต้อง ถ้าเรายอมรับ หรืออยู่เฉยโดยไม่ทำอะไร มันจะเป็นตราบาปติดตัวเราไปตลอดชีวิต ไม่เป็นผลดีทั้งต่อตัวเอง ต่อลูก และครอบครัว เสื่อมเสียไปทั้งญาติพี่น้อง และมิตรสหายด้วย
อ่าวข่าวเกี่ยวเนื่อง
- แฉคน “จิราธิวัฒน์” เชื่อแต่ฝรั่งไสหัวผู้บริหารหญิงไทยท้องแก่แล้ว 3 ราย
- “ศาลาสมุยฯ” ยังไม่พร้อมแจง เผยเรื่องเล่าเลิกจ้างหนาหู และกระสุนปริศนาบนโต๊ะ GM
- ที่แท้ “ศาลาสมุยฯ” รร.หรูของตระกูล “จิราธิวัฒน์” ไล่ออกสาวท้องแก่ไม่เป็นธรรม
- สาวท้องร้องขอความเป็นธรรมถูกโรงแรมที่เกาะสมุยให้ออก