ศุกตา-ทศ จิราธิวัฒน์ (ภาพจากhttp://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02tou01121152§ionid=0208&day=2009-11-12)
กรณีโรงแรมศาลาสมุย รีสอร์ทแอนด์สปา ในเครือศาลากรุ๊ปของตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่เกิดเรื่องราวให้สาวท้องแก่ออกจากงานด้วยข้อกล่าวหาค่อนข้างร้ายแรง ขณะที่ผู้ถูกกระทำรู้สึกว่าตัวเองถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม จึงลุกออกมาเคลื่อนไหวและทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพียงเพื่อหวังปกป้องชื่อเสียงของตัวเธอและครอบครัวเท่านั้น
แล้วก็มีเพียงสื่อในเครือ “ASTVผู้จัดการ” ที่รายงานข่าวมาโดยตลอด!!
ผมเองสนใจติดตามและก็ค่อนข้างแปลกใจว่าข่าวเล็กๆ ที่แค่ถูกนำเสนออยู่ในเว็บไซต์ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” เพียงที่เดียว ต้องย้ำนะครับว่าเป็นสื่อเดียวจริงๆ ทำไมจึงมีจำนวนคนคลิกเข้าไปอ่านกันชนิดที่ต้องเรียกว่าครึกโครมพอสมควร แทบทุกเนื้อหาที่รายงานมียอดเข้าชมหลายหมื่น บางชิ้นพุ่งทะยานขึ้นไปเฉียดแสนวิว ทั้งๆ จุดเริ่มเกิดจากคนกลุ่มย่อมๆ รวมตัวไปยกป้ายประท้วงหน้าโรงแรม แต่เมื่อเป็นข่าวกลับได้รับความสนใจท่วมท้นต่อเนื่อง
อาจจะเป็นเพราะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตระกูลดัง แถมยังเป็นกลุ่มทุนยักษ์ที่ไม่ใช่ใหญ่คับประเทศไทยเท่านั้น แต่เทียบชั้นได้กับกลุ่มทุนข้ามชาติที่สามารถไปเสาะแสวงหากำไรที่ไหนในโลกก็ได้ แล้วก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่หลากหลายและเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมากเสียด้วย แต่นั่นก็น่าจะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของคำตอบทำไมคนจึงสนใจข่าวนี้
ผมพยายามติดตามเหตุผลของคนอ่านที่โพสต์คอมเมนต์ไว้ท้ายข่าว ประเด็นหนึ่งที่แสดงความคิดเห็นกันมากคือ อยากเห็นฝ่ายเจ้าของหรือไม่ก็ผู้บริหารโรงแรมออกมาถกแถลงถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ทราบว่ามีทีมข่าวติดต่อไปแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆ ปรากฏ ประเด็นของความอึมครึมนี่แหละมีผลให้คนสนใจอย่างมีนัยสำคัญพอสมควร
นอกจากนี้ยังมีสิ่งให้คิดต่อไปได้ว่า แม้ข่าวที่เกิดขึ้นจะตั้งต้นจากเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาเล็กๆ ของคนตัวเล็กๆ ในมุมเล็กๆ บนเกาะเล็กๆ กลางทะเลที่ห่างไกลผืนแผ่นดินอันกล้าวงใหญ่ไพศาลของประเทศไทย แต่ความที่ยังมีเงื่อนปมที่ไม่ถูกทำให้กระจ่าง จึงเป็นเรื่องน่าพิศวงของผู้คน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องราวความขัดแย้งในทางการเมืองที่ผู้คนจับจ้องกันแทบไม่กะพริบตา เพราะมีแนวโน้มนำไปสู่จุดสุดยอดของความขัดแย้งในอีกไม่นาน
หากคิดไปในมุมมองดังว่า กรณีของ “จิราธิวัฒน์” ก็ไม่น่าจะผิดแผกไปจาก “ชินวัตร” สักเท่าไหร่?!
ถ้าอย่างนั้นเราควรหันไปมองสังคมไทยอย่างพินิจพิเคราะห์สักนิด เป็นที่ยอมรับกันแล้วใช่ไหมว่า ปัจจุบันบทบาทของคนหน้าเหลี่ยมได้แผ่อิทธิพลครอบงำสังคมไทยแทบทุกด้าน แถมแทรกแซงเข้าไปได้ระดับบีบให้ยอมรับว่าเป็นวิถี หรืออาจจะเรียกว่าเข้าเส้นทางวัฒนธรรมไปแล้ว โดยเฉพาะระบบอุปถัมภ์ค้ำจุนที่ต้องมีเส้นสายยึดโยดโยงใยแบบไทยๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากทุนสามานย์
วันนี้นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร แม้ต้องเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ แต่ก็สามารถควบคุมบงการอำนาจรัฐได้อย่างแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แถมยังต่อสายระบบอุปถัมภ์ค้ำท่อเอาล่อเอาเถิดกับสังคมไทยได้ในหลายมิติ ไม่ว่าจะหน่วยงานรัฐหรือเอกชน องค์กรอิสระ สถาบันต่างๆ ในทางการเมืองการปกครองมีระบอบทักษิณครอบงำอยู่ ขณะที่ในทางเศรษฐกิจก็ถูกกลืนกินด้วยระบอบชินวัตร มีเครือข่ายเป็นหูตาขาแขนให้มากมาย อย่างพลพรรคเพื่อไทย กลุ่มนักเลือกตั้งที่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตน ก๊วน นปช. แก๊งเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งกองกำลังคนเสื้อดำที่ออกปฏิบัติการเป็นครั้งคราว
แน่นอนภาพของจิราธิวัฒน์ในห้วงเวลานี้ยังเทียบไม่ได้กับบทบาทของชินวัตร โดยเฉพาะในภาพลักษณ์ของการครอบงำบ้านเมือง แต่ความเป็นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ภายใต้ระบบทุนนิยมยึดครองโลก ซึ่งต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กำไรสูงสุดไม่น่าจะห่างชั้นกันนัก นี่จึงน่าจะเป็นการเติมเต็มส่วนเสี้ยวที่ว่า ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจข้อมูลข่าวสารที่พัวพันกับตระกูลจิราธิวัฒน์
ถึงตรงนี้ทำให้คิดต่อไปได้ว่า หากตระกูลจิราธิวัฒน์ยังคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นที่โรงแรมศาลาสมุย รีสอร์ทแอนด์สปา เป็นแค่ข่าวเล็กๆ ของคนตัวเล็กๆ ปล่อยๆ ไปเดี๋ยวก็เงียบหาย ไม่ควรเสียเวลาไปใส่ใจ และที่สำคัญไม่มีความจำเป็นต้องชี้แจงแถลงไขเลย
อาจจะเป็นไปได้ที่วันใดวันหนึ่ง ปมเงื่อนของความขัดแย้งจากสิ่งเล็กน้อยจะหลอมรวมเป็นก้อนใหญ่ ความอึมครึมที่ไม่เคยแม้จะพยายามทำให้เกิดความกระจ่าง วันหนึ่งอาจจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นมนต์ดำในหัวใจผู้คนขึ้นมาได้
ณ วันนี้ไม่มีใครกล่าวขานถึง “ระบอบจิราธิวัฒน์” แต่ไม่ใช่ในวันข้างหน้าจะไม่มี?!
มีข่าวคราวล่าสุดตระกูลจิราธิวัฒน์ได้ส่ง “ทศ จิราธิวัฒน์” นำทัพไปลงทุนเปิดห้างเซ็นทรัลใหญ่โตใจกลางกรุงจาการ์ตาเมืองหลวงประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นอีกก้าวของการสยายปีกรับตลาดอาเซียน พร้อมๆ กับได้จ้างฝรั่งดูแลการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนห้างที่จาการ์ตาก็มีการจ้างชาวอินโดฯ นั่งเป็นผู้จัดการไว้แล้ว
ที่หยิบยกเรื่องนี้มาเพียงอยากบอกว่า ทศ จิราธิวัฒน์ คือขุนพลคนสำคัญของตระกูล ผู้มีรางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย (Thailand Top 100 HR Award) ปี 2552 จากสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นเครื่องการันตี หากศรีภรรยาคือ “ศุกตา จิราธิวัฒน์” ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเครือศาลากรุ๊ป ผู้ที่รับรู้เรื่องราวปัญหาของโรงแรมศาลาสมุย รีสอร์ทแอนด์สปา มาเป็นอย่างดีจะไปขอคำแนะนำบ้าง
เชื่อว่าข่าวคราวไม่สง่างามที่เกิดขึ้นกับโรงแรมบนเกาะสมุยก็น่าจะยุติลงได้เร็ววัน!!!!