คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
1-7 สิงหาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนร่วมขบวนทัวร์อีสาน-ลาวใต้ ของสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มศว หน่วย ม.ทักษิณ ด้วยรถสองชั้น อาบังทัวร์-พัทลุง มีเพื่อนร่วมทางประมาณ 40 คน โขยกเขยกผ่านถนนสายเอเชียที่สภาพย่ำแย่ เพราะรถบรรทุกแร่ของ ส.ส.คนดังเมืองคนดี ใช้เวลาจาก 17.00 น.ถึง 9 โมงเช้าโดยประมาณ แวะกินมื้อเช้าที่โรงแรมสระบุรีอินน์ เป็นอาหารแบบบุฟเฟต์ ก่อนออกเดินทางไปยังโคราชเพื่อกินมื้อเที่ยงที่ร้านขาหมูชื่อดัง ตกตอนเย็นถึงเมืองอุบลฯ แวะเข้าที่พักที่โรงแรมเนวาดาแล้วออกไปกินมื้อค่ำที่เรือนลลิตา เป็นอาหารอีสานรสชาติไม่ประทับใจเลย ข้าวไม่พอ ไข่เจียวทอดไม่ทัน กลับโรงแรมที่พักอย่างหงุดหงิดในหัวใจ สภาพโรงแรมก็เก่าแก่โบราณเหมือนพิพิธภัณฑ์
หลังมื้อเช้าที่โรงแรม รถนำเราไปปล่อยบริเวณใกล้ๆ ศาลากลางจังหวัดเพื่อรอชมขบวนแห่เทียนพรรษาผ่านไปยังทุ่งศรีเมือง ฝูงชนแห่กันมาคับคั่ง ฟ้าฝนรู้เห็นเป็นใจ แดดออกพอรำไร ขบวนแห่เทียนพรรษาอลังการนำด้วยบวนแห่เทียนแกะสลักเป็นรูปเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าปางต่างๆ รูปครุฑ พญานาค และอื่นๆ มีคนคอยถือไม้ค้ำยันสายไฟฟ้าขบวนละ 2-3 คน มีคนคอยพ่นน้ำหล่อเลี้ยงเทียนไม่ให้ละลาย 2 คน ตามด้วยขบวนฟ้อนรำแต่งกายชุดพื้นบ้าน เสียงพิณ เสียงแคนกระหึ่มไปทั้งบริเวณ ฝูงคนแน่นขนัดทั้งสองข้างทาง หลายคนวิ่งเข้าไปแทรกตัวในขบวนแห่เพื่อเก็บรูปประทับใจไว้เป็นอนุสรณ์
ศรัทธา คือ ปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ ความร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ชาวบ้านที่รำนำหน้าบวนแห่แววตาใสซื่อ แม้อายุจะมากรุ่นปู่ย่าตายายแต่ดูกระฉับกระเฉง และมีความสุข ท่ามกลางเปลวแดดที่แผดจ้า อดคิดไม่ได้ว่าถ้านักการเมือง หรือผู้มีอำนาจวาสนามีจิตใจใสซื่อสวยสดงดงามแบบชาวบ้านเหล่านี้บ้าง สังคมนี้จะน่าอยู่สักปานไหนหนา
เด็กๆ จากโรงเรียนระดับมัธยม ประถมศึกษา ต่างใจจดใจจ่อฟ้อนรำไปตามจังหวะลีลาของบทเพลงที่ถูกขับขานโดยคนรุ่นเดียวกัน และรุ่นแก่กว่า สีหน้าแววตาของยุวชนเหล่านี้ดูมีความสุข แม้ว่าจะเหนื่อย และร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลไคลย้อย แต่พวกเขาก็ยังส่งยิ้มให้แก่ผู้คนรอบข้างอย่างอารมณ์ดี เสียงดนตรี และเสียงเพลงที่สอดประสานรับกันเป็นทอดๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะสุดสิ้น มิอาจทำให้ผู้คนที่ยืนรอชมขบวนแห่วัดแล้ววัดเล่ารู้สึกท้อแท้สิ้นหวังแต่อย่างใด พอขบวนหนึ่งผ่านเลยไปขบวนใหม่ก็ตั้งตระหง่านมาแต่ไกล ยั่วเย้าให้รอคอย และค้นหาความสวยงามอลังการที่ผิดแผกแตกต่างกันไป ทั้งรูปแบบ และเนื้อหา ตามความสามารถของช่างในทางประดิดประดอย และสร้างสรรค์
ขบวนแห่เทียนพรรษายังไม่สิ้นสุด เราต้องรีบไปขึ้นรถกลับโรงแรมก่อนสิบโมงเพื่อทานมื้อเที่ยง และเข้าประชุมสัมมนาสหกรณ์ออมทรัพย์ครูตามกำหนดการที่จะเริ่มในตอนบ่ายโมงตรง พอขึ้นนั่งบนรถได้ไม่นาน ฝนที่ตั้งเค้ามาไม่นานก็ตกลงมาทันที แต่สักพักก็ขาดเม็ด ทำให้ขบวนแห่เทียนพรรษาเปียกปอนกันไปตามๆ กัน
การประชุมสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ มีเรื่องราว แง่คิด มุมมองหลายอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกระบวนการการมีส่วนร่วมของสมาชิก การบริหารจัดการสหกรณ์ สหกรณ์กับการออมทรัพย์ และสวัสดิการของชีวิต เป็นต้น
จบการประชุมสหกรณ์เมื่อเวลาประมาณห้าโมงเย็น หกโมงเย็นวันนี้ เป็นรายการบายศรีสู่ขวัญ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธี ก่อนจะรับประทานอาหาร และมีการแสดงพื้นบ้านบนเวที สลับกับการร่วมเล่นเกมสนุกสนาน แจกรางวัลจนเวลาล่วงเลยพอสมควร จึงเลิกรากันไปพักผ่อนเพื่อออกเดินทางต่อไปยังเมืองปากเซ แขวงจำปาสัก เขตลาวใต้ในวันพรุ่งนี้
ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเนวาดา หรืออุบลเนชั่นแนลเสร็จ รถพาเรามุ่งหน้าไปยังช่องเม็กเพื่อผ่านด่านไปยังปากเซ แขวงจำปาสัก ประมาณเที่ยงๆ เราถึงสะพานมิตรภาพหน้าโรงแรมจำปาสักแกรนด์ ปากเซ ผ่านหน้าโรงแรมไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านมณีพร อาหารอร่อยมาก โดยเฉพาะผัดผักยอดมะระหวาน หรือผักแม้ว จากนั้นไกด์ส้มจากฝั่งลาวก็นำเราไปชมปราสาทวัดภู มรดกโลก
ถึงปราสาทวัดภูเราต้องซื้อปี้ (ตั๋ว) เพื่อเข้าชมปราสาทโดยนั่งรถกอล์ฟไปถึงทางขึ้นปราสาทที่ค่อยๆ ลาดเอียงสูงขึ้นๆ จนแงหนคอตั้งบ่า ต้องหยุดพักเป็นช่วงๆ กว่าจะถึงจุดที่ตั้งของปราสาทอันเป็นจุดหมายปลายทาง ระหว่างทางจะมีเสาเสมาเป็นแนวกำแพง มีปราสาทหินภูเขาไฟสภาพชำรุดทรุดโทรมเพราะเก่าแก่มากแล้ว มีต้นจำปา หรือลีลาวดีขนาดยักษ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่หลายต้น มีการขายดอกไม้ธูปเทียนเพื่อบูชาเทพเจ้า
ปราสาทวัดภู เป็นโบราณสถาน หรือเทวสถานของพราหมณ์-ฮินดู ตอนหลังมีศาสนาพุทธเข้ามาผสมผสาน ในวัดจึงมีทั้งศิลปะของพราหมณ์ และพุทธแบบขอมอยู่ทั่วไป หลังสุด มีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีลานบูชายัญสตรี รูปจระเข้แกะสลัก เป็นต้น
เราจากลาปราสาทวัดภูมาเมื่อยามบ่าย แวะทานอาหารในเรือนแพใกล้ๆ โรงแรมที่พัก และร้านอาหารมณีพรที่ทานในตอนเช้า เจอนักการเมือง และนายอำเภอจากฝั่งไทย นำกำนันผู้ใหญ่บ้านไปเลี้ยงฉลองกันที่ฝั่งลาวอย่างสนุกสนาน ทำให้อดนึกถึงนักการเมืองบ้านเรานำผู้นำชุมชน และลูกบ้านไปเที่ยวในหน้าเลือกตั้งไม่ได้ การเมืองบ้านเราไม่ว่าจะภาคไหนใช้กลอุบายในการหาเสียงแบบประชานิยมเหมือนกันหมด
สิ่งที่น่าประทับใจในลาวใต้ คือ สภาพสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์เหมือนประเทศไทยเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว คือ ยังไถนากับควาย ยังทำนาดำ ทำนาไว้กิน ไม่มีคดีข่มขืน กระทำชำเรา หรือคดีฆ่าคนตายเพราะโทษหนักมาก “จำคุกแค่สามวัน วันที่สี่นำไปประหาร” บ้านเรือนคนลาววันนี้ไม่มีเหล็กดัด คนลาวไม่มีใบอนุญาตให้มีอาวุธปืน และไม่มีใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืน คนที่พกปืนได้ คือ ทหาร และตำรวจเท่านั้น ผิดกับบ้านเรา นักเลง นักการเมือง และลิ่วล้อพกปืนเป็นไม้จิ้มฟัน ชอบยิงปืนในทุกกาลเทศะเพื่อแสดงบารมี เราจึงเก็บศพกันไม่หวาดไม่ไหวในแต่ละวันจนทุกวันนี้
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
1-7 สิงหาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนร่วมขบวนทัวร์อีสาน-ลาวใต้ ของสหกรณ์ออมทรัพย์ครู มศว หน่วย ม.ทักษิณ ด้วยรถสองชั้น อาบังทัวร์-พัทลุง มีเพื่อนร่วมทางประมาณ 40 คน โขยกเขยกผ่านถนนสายเอเชียที่สภาพย่ำแย่ เพราะรถบรรทุกแร่ของ ส.ส.คนดังเมืองคนดี ใช้เวลาจาก 17.00 น.ถึง 9 โมงเช้าโดยประมาณ แวะกินมื้อเช้าที่โรงแรมสระบุรีอินน์ เป็นอาหารแบบบุฟเฟต์ ก่อนออกเดินทางไปยังโคราชเพื่อกินมื้อเที่ยงที่ร้านขาหมูชื่อดัง ตกตอนเย็นถึงเมืองอุบลฯ แวะเข้าที่พักที่โรงแรมเนวาดาแล้วออกไปกินมื้อค่ำที่เรือนลลิตา เป็นอาหารอีสานรสชาติไม่ประทับใจเลย ข้าวไม่พอ ไข่เจียวทอดไม่ทัน กลับโรงแรมที่พักอย่างหงุดหงิดในหัวใจ สภาพโรงแรมก็เก่าแก่โบราณเหมือนพิพิธภัณฑ์
หลังมื้อเช้าที่โรงแรม รถนำเราไปปล่อยบริเวณใกล้ๆ ศาลากลางจังหวัดเพื่อรอชมขบวนแห่เทียนพรรษาผ่านไปยังทุ่งศรีเมือง ฝูงชนแห่กันมาคับคั่ง ฟ้าฝนรู้เห็นเป็นใจ แดดออกพอรำไร ขบวนแห่เทียนพรรษาอลังการนำด้วยบวนแห่เทียนแกะสลักเป็นรูปเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าปางต่างๆ รูปครุฑ พญานาค และอื่นๆ มีคนคอยถือไม้ค้ำยันสายไฟฟ้าขบวนละ 2-3 คน มีคนคอยพ่นน้ำหล่อเลี้ยงเทียนไม่ให้ละลาย 2 คน ตามด้วยขบวนฟ้อนรำแต่งกายชุดพื้นบ้าน เสียงพิณ เสียงแคนกระหึ่มไปทั้งบริเวณ ฝูงคนแน่นขนัดทั้งสองข้างทาง หลายคนวิ่งเข้าไปแทรกตัวในขบวนแห่เพื่อเก็บรูปประทับใจไว้เป็นอนุสรณ์
ศรัทธา คือ ปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ ความร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ชาวบ้านที่รำนำหน้าบวนแห่แววตาใสซื่อ แม้อายุจะมากรุ่นปู่ย่าตายายแต่ดูกระฉับกระเฉง และมีความสุข ท่ามกลางเปลวแดดที่แผดจ้า อดคิดไม่ได้ว่าถ้านักการเมือง หรือผู้มีอำนาจวาสนามีจิตใจใสซื่อสวยสดงดงามแบบชาวบ้านเหล่านี้บ้าง สังคมนี้จะน่าอยู่สักปานไหนหนา
เด็กๆ จากโรงเรียนระดับมัธยม ประถมศึกษา ต่างใจจดใจจ่อฟ้อนรำไปตามจังหวะลีลาของบทเพลงที่ถูกขับขานโดยคนรุ่นเดียวกัน และรุ่นแก่กว่า สีหน้าแววตาของยุวชนเหล่านี้ดูมีความสุข แม้ว่าจะเหนื่อย และร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลไคลย้อย แต่พวกเขาก็ยังส่งยิ้มให้แก่ผู้คนรอบข้างอย่างอารมณ์ดี เสียงดนตรี และเสียงเพลงที่สอดประสานรับกันเป็นทอดๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะสุดสิ้น มิอาจทำให้ผู้คนที่ยืนรอชมขบวนแห่วัดแล้ววัดเล่ารู้สึกท้อแท้สิ้นหวังแต่อย่างใด พอขบวนหนึ่งผ่านเลยไปขบวนใหม่ก็ตั้งตระหง่านมาแต่ไกล ยั่วเย้าให้รอคอย และค้นหาความสวยงามอลังการที่ผิดแผกแตกต่างกันไป ทั้งรูปแบบ และเนื้อหา ตามความสามารถของช่างในทางประดิดประดอย และสร้างสรรค์
ขบวนแห่เทียนพรรษายังไม่สิ้นสุด เราต้องรีบไปขึ้นรถกลับโรงแรมก่อนสิบโมงเพื่อทานมื้อเที่ยง และเข้าประชุมสัมมนาสหกรณ์ออมทรัพย์ครูตามกำหนดการที่จะเริ่มในตอนบ่ายโมงตรง พอขึ้นนั่งบนรถได้ไม่นาน ฝนที่ตั้งเค้ามาไม่นานก็ตกลงมาทันที แต่สักพักก็ขาดเม็ด ทำให้ขบวนแห่เทียนพรรษาเปียกปอนกันไปตามๆ กัน
การประชุมสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ มีเรื่องราว แง่คิด มุมมองหลายอย่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกระบวนการการมีส่วนร่วมของสมาชิก การบริหารจัดการสหกรณ์ สหกรณ์กับการออมทรัพย์ และสวัสดิการของชีวิต เป็นต้น
จบการประชุมสหกรณ์เมื่อเวลาประมาณห้าโมงเย็น หกโมงเย็นวันนี้ เป็นรายการบายศรีสู่ขวัญ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ประกอบพิธี ก่อนจะรับประทานอาหาร และมีการแสดงพื้นบ้านบนเวที สลับกับการร่วมเล่นเกมสนุกสนาน แจกรางวัลจนเวลาล่วงเลยพอสมควร จึงเลิกรากันไปพักผ่อนเพื่อออกเดินทางต่อไปยังเมืองปากเซ แขวงจำปาสัก เขตลาวใต้ในวันพรุ่งนี้
ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเนวาดา หรืออุบลเนชั่นแนลเสร็จ รถพาเรามุ่งหน้าไปยังช่องเม็กเพื่อผ่านด่านไปยังปากเซ แขวงจำปาสัก ประมาณเที่ยงๆ เราถึงสะพานมิตรภาพหน้าโรงแรมจำปาสักแกรนด์ ปากเซ ผ่านหน้าโรงแรมไปทานมื้อเที่ยงที่ร้านมณีพร อาหารอร่อยมาก โดยเฉพาะผัดผักยอดมะระหวาน หรือผักแม้ว จากนั้นไกด์ส้มจากฝั่งลาวก็นำเราไปชมปราสาทวัดภู มรดกโลก
ถึงปราสาทวัดภูเราต้องซื้อปี้ (ตั๋ว) เพื่อเข้าชมปราสาทโดยนั่งรถกอล์ฟไปถึงทางขึ้นปราสาทที่ค่อยๆ ลาดเอียงสูงขึ้นๆ จนแงหนคอตั้งบ่า ต้องหยุดพักเป็นช่วงๆ กว่าจะถึงจุดที่ตั้งของปราสาทอันเป็นจุดหมายปลายทาง ระหว่างทางจะมีเสาเสมาเป็นแนวกำแพง มีปราสาทหินภูเขาไฟสภาพชำรุดทรุดโทรมเพราะเก่าแก่มากแล้ว มีต้นจำปา หรือลีลาวดีขนาดยักษ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่หลายต้น มีการขายดอกไม้ธูปเทียนเพื่อบูชาเทพเจ้า
ปราสาทวัดภู เป็นโบราณสถาน หรือเทวสถานของพราหมณ์-ฮินดู ตอนหลังมีศาสนาพุทธเข้ามาผสมผสาน ในวัดจึงมีทั้งศิลปะของพราหมณ์ และพุทธแบบขอมอยู่ทั่วไป หลังสุด มีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีลานบูชายัญสตรี รูปจระเข้แกะสลัก เป็นต้น
เราจากลาปราสาทวัดภูมาเมื่อยามบ่าย แวะทานอาหารในเรือนแพใกล้ๆ โรงแรมที่พัก และร้านอาหารมณีพรที่ทานในตอนเช้า เจอนักการเมือง และนายอำเภอจากฝั่งไทย นำกำนันผู้ใหญ่บ้านไปเลี้ยงฉลองกันที่ฝั่งลาวอย่างสนุกสนาน ทำให้อดนึกถึงนักการเมืองบ้านเรานำผู้นำชุมชน และลูกบ้านไปเที่ยวในหน้าเลือกตั้งไม่ได้ การเมืองบ้านเราไม่ว่าจะภาคไหนใช้กลอุบายในการหาเสียงแบบประชานิยมเหมือนกันหมด
สิ่งที่น่าประทับใจในลาวใต้ คือ สภาพสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์เหมือนประเทศไทยเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว คือ ยังไถนากับควาย ยังทำนาดำ ทำนาไว้กิน ไม่มีคดีข่มขืน กระทำชำเรา หรือคดีฆ่าคนตายเพราะโทษหนักมาก “จำคุกแค่สามวัน วันที่สี่นำไปประหาร” บ้านเรือนคนลาววันนี้ไม่มีเหล็กดัด คนลาวไม่มีใบอนุญาตให้มีอาวุธปืน และไม่มีใบอนุญาตให้พกพาอาวุธปืน คนที่พกปืนได้ คือ ทหาร และตำรวจเท่านั้น ผิดกับบ้านเรา นักเลง นักการเมือง และลิ่วล้อพกปืนเป็นไม้จิ้มฟัน ชอบยิงปืนในทุกกาลเทศะเพื่อแสดงบารมี เราจึงเก็บศพกันไม่หวาดไม่ไหวในแต่ละวันจนทุกวันนี้