คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
ภาพจากกล้อง “ซีซีทีวี” ที่บันทึกปฏิบัติการโหดของหน่วยจู่โจมโจรใต้ “อาร์เคเค” ต่อเจ้าหน้าที่ทหารชุดลาดตระเวนเส้นทางบนถนนสายปัตตานี-นราธิวาส ช่วงพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี ซึ่งอาร์เคเคปฏิบัติการใช้รถกระบะปิดถนนโจมตีทหารชุดลาดตระเวนด้วยอาวุธปืน ก่อนที่จะเข้าไปจ่อยิงซ้ำอย่างโหดเหี้ยม โดยหลังปฏิบัติการ “คลิป” ภาพดังกล่าว ถูกเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ไปทั่วโลกนั้น ได้บอกเรื่องราวต่างๆ ดังนี้
1.สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการก่อการร้าย โดยขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีขบวนการ “บีอาร์เอ็นโคออดิเนต” เป็นหัวขบวนการ โดยใช้ยุทธวิธี และปฏิบัติการทุกรูปแบบ ทั้งการก่อวินาศกรรม เป้าหมายทางสัญลักษณ์ของรัฐไทย เช่น ที่ตั้งกำลังทหาร ตำรวจ ปกครอง วัด โรงเรียน สถาบันการเงิน โรงแรม สถานบันเทิง และย่านการค้าการลงทุน เพื่อทำลายฐานเศรษฐกิจที่เป็นของรัฐ คนไทยพุทธ และคนไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่
2.เป็นสงครามประชาชน เพราะผู้ที่จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ อาร์เคเค หรือหน่วยรบของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ต่างเป็นประชาชนที่มีบัตรประชาชนไทยและเป็นคนในพื้นที่ ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายจากต่างประเทศแต่อย่างใด
3.ปฏิบัติการของอาร์เคเคที่เกิดขึ้นเกือบทุกครั้ง ต่างประสบความสำเร็จ และเลือกเป้าโจมตีอย่างได้ผล ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ยุทธวิธีของหน่วยงานรัฐ ทั้งทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครองในการรักษาความปลอดภัย รักษาความสงบมีจุดอ่อน งานการข่าวไร้ประสิทธิภาพ
4.ขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังใช้ยุทธศาสตร์เดิมตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา คือ ใช้ความรุนแรงในการปฏิบัติการในพื้นที่ เพื่อหวังผลให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวในความโหดร้าย และโหดเหี้ยม เพื่อแยกประชาชนออกจากอำนาจรัฐ รวมทั้งต้องการให้เห็นว่า อำนาจรัฐอ่อนแอ ไม่สามารถคุ้มครองรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่
5.ปฏิบัติการของอาร์เคเคไม่ได้สนใจกล้องวงจรปิด หรือซีซีทีวีที่มีการติดตั้งไว้ในสถานที่ต่างๆ แต่อย่างใด และหลังถูกจับกุม ก็ไม่ได้แสดงอาการสะทกสะท้านให้เห็นในสิ่งที่ได้ทำลงไป แสดงให้เห็นว่า อาร์เคเคเหล่านี้ถูกปลูกฝังเชื้ออุดมการณ์ให้หลงผิดมาเป็นอย่างดี
หลังเหตุการณ์เพลี่ยงพล้ำติดๆ กันของกองกำลังในพื้นที่ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายพลเรือน สิ่งที่กองทัพออกมาเรียกร้องคือ ขอให้ “คอลัมนิสต์” หรือที่ถูกขนานนามว่า “นักรบด้วยปาก” อย่าได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า กองทัพ “เลี้ยงไข้” เพราะกองทัพได้ทำหน้าที่ด้วยความทุ่มเทอย่างเต็มที่แล้ว
ดังนั้น คอลัมนิสต์อย่าได้ให้เครดิตแก่โจร และอย่าได้บั่นทอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
หลังจากเกิดเหตุการณ์ปฏิบัติการโหดที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี สิ่งที่กองทัพโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ออกมาเรียกร้อง คือ ขอให้ทุกสำนักข่าวอย่าได้เผยแพร่ภาพที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นภาพจากซีซีทีวีออกไปสู่สาธารณะ เพราะเป็นภาพที่โหดเหี้ยม สะเทือนใจ และอาจจะทำให้องค์กรต่างๆ ในต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงปัญหาภายในของไทย
ซึ่งสรุปได้ว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กองทัพห่วงเรื่องของ “ภาพลักษณ์” เป็นเรื่องแรก ส่วนเรื่องความไม่สงบ และความปลอดภัยของคนในพื้นที่เป็นเรื่องที่รองลงมา
โดยข้อเท็จจริง เรื่องความเห็นของคอลัมนิสต์ที่เห็นต่าง และเห็นแย้ง เป็นความเห็นที่มาจากความคิด และข้อมูลที่ได้รับ รวมทั้งประสบการณ์ของการอยู่ในเหตุการณ์ และในพื้นที่ ซึ่งต้องการเขียนเพื่อ “สื่อ” ให้ผู้อ่าน และผู้บริหารประเทศได้รับรู้ในฐานะที่สื่อเป็นทั้ง “กระจก” และเป็นทั้ง “ตะเกียง” ในเวลาเดียวกัน
การที่จะห้ามให้คอลัมนิสต์หยุดวิพากษ์วิจารณ์การดับไฟใต้ของกองทัพ และให้เห็นไปในทิศทางเดียวกับกองทัพ จึงเป็นไปไม่ได้
รวมทั้งการขอให้สื่อหยุดเผยแพร่ภาพที่เกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เนื่องจากสื่อเองก็มีหน้าที่ในการนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะบอกแก่สังคมได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของอาร์เคเคที่ปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนในพื้นที่ ต้องการนำเสนอถึงความ “เลวร้าย” ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้คนทั้งประเทศได้รับรู้ และสุดท้าย สื่อต้องการเสนอถึงความ “ล้มเหลว” ของการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ เพื่อให้รัฐบาลได้รับรู้ และจัดการกับปัญหาความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
การนำเสนอ “ข่าว-ภาพ” ของสื่อ จึงไม่ใช่การซ้ำเติมสถานการณ์ และไม่ใช่การทำให้องค์กรต่างๆ ในประเทศที่สามเร่งเข้ามาแทรกแซงปัญหาภายในของประเทศไทย ยิ่งในโลกของสงครามข่าวสารในปัจจุบัน แม้ “สื่อไทย” ไม่นำเสนอ ก็อย่าหวังว่าภาพ และข่าวเหล่านี้จะไม่ถูกนำไปเผยแพร่
เพราะโลกของสังคมข่าวสารทุกวันนี้ ไม่มีใครปิดบังใครได้อีกต่อไปแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่กองทัพควรจะทำ คือ เมื่ออาร์เคเคให้ความรุนแรง ใช้ความโหดเหี้ยมในการปฏิบัติการ กองทัพก็ต้องหยิบเอาความรุนแรง ความโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นสื่อไปยังประชาชนในพื้นที่ และประชาคมโลก เพื่อให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรม ความไร้มนุษยธรรมที่เกิดจากการกระทำของอาร์เคเคที่ปฏิบัติการในเดือน “รอมฎอน” ซึ่งเป็นเดือนแห่งความบริสุทธิ์ ความดีงามของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม
เพื่อที่จะให้ประชาคมโลก และองค์กรต่างๆ เช่น โอไอซี ยูเอ็น และอื่นๆ เห็นถึงความ โหดร้าย ทารุณ ไร้มนุษยธรรมของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ และออกมาเคลื่อนไหวประณามการกระทำที่เกิดขึ้น เพื่อผลทางสังคมและจิตวิทยา
และเหนือสิ่งอื่นใด กองทัพจะต้องปรับยุทธวิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และป้องกันชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐ ป้องกันทรัพย์สินทางราชการ โดยเฉพาะอาวุธที่กลายเป็น “ของแถม” ในทุกครั้งที่มีการฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐ
เพราะต้องยอมรับว่า วันนี้ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน “รู้เรา” คือ รู้ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ทุกกระเบียดนิ้ว และปฏิบัติการโจมตีได้ผลแทบทุกครั้ง แต่กองกำลังของรัฐในพื้นที่ไม่ “รู้เขา” จึงกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ และสูญเสียมาโดยตลอด
ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐยัง “พลีชีพ” ให้แก่อาร์เคเคทุกวันอย่างที่เกิดขึ้น มวลชนจะไม่เป็นของรัฐอย่างแน่นอน เพราะทุกศพของเจ้าหน้าที่ไม่ได้หมายถึงการสูญเสียของรัฐ ของกองทัพ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และของครอบครัวของผู้พลีชีพเท่านั้น แต่หมายถึงการสูญเสียขวัญกำลังใจของคนในพื้นที่ สูญเสียความเชื่อมั่นต่อกองทัพ ต่อรัฐบาล และเมื่อประชาชนในพื้นที่ขาดความเชื่อมั่นต่ออำนาจรัฐมากขึ้น กองกำลังในพื้นที่ยิ่งโดดเดี่ยว และยิ่งอันตรายต่อการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สิ่งที่กองทัพและหน่วยงานของรัฐต้องเร่งทำคือ การปรับยุทธวิธีของหน่วยกำลังในพื้นที่เพื่อลดความสูญเสีย การเปิดยุทธวิธีเชิงรุกเพื่อหยุดการก่อการร้ายของอาร์เคเคให้ได้ เพราะเป็นวิธีการเดียวที่กองทัพจะเรียกความเชื่อมั่นของอำนาจรัฐให้กลับคือมา และถ้าอำนาจรัฐกลับคืนมาได้ หมายถึงการได้มวลชนมาเป็นของรัฐ นั่นเอง