xs
xsm
sm
md
lg

ดับไฟใต้ด้วยเจรจา ต้องมัดตราสัง “ทักษิณ”/ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ - ประเทศไทยเสมือนเป็นบ้านที่ตั้งอยู่ขนาบข้างด้วยกลุ่มบีอาร์เอ็นฯ และพูโล ทุกเช้าเย็นถูกยิง ระเบิด เผาด้วยกลุ่มหนึ่ง และอีกกลุ่มหนึ่งโจมตีผ่านเวทีโลก
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก

หลายวันที่ผ่านมา ข่าวที่ฮอตๆ และเล่นกันจนเลยเถิด คือข่าว “ทักษิณ” พบกับ “ฮาซัน ตอยิบ” ที่เล่นเอาเปียกปอนกันไปทั่วทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้, นัจมูดีน อูมา อดีต ส.ส.จ.นราธิวาส และ แม้แต่ผู้เขียน “จุดคบไฟใต้” ก็ได้รับเกียรติจากใครต่อใครให้เป็นหนึ่งในตัว “ละคร” เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน

แต่เรื่องที่จะเขียนถึงวันนี้ คงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการ “เจรจา” ว่าใครไปเจรจากับใคร เพราะผู้เขียนเห็นว่าเรื่องความ “สับสน” ตรงนั้นได้ผ่านไปแล้ว และเป็นการผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากสงครามข่าวสาร สงครามน้ำลายของนักการเมือง โดยเฉพาะ “การเมือง” แบบ “ประชาธิปัตย์” ที่ไม่ขยันหาข้อมูล ข้อเท็จจริง ชอบแต่หยิบเอาข้อมูลของผู้อื่นไปทำการ “จับแพะชนแกะ” พอเอาเข้าจริงๆ ก็กลายเป็น “ปวกเปียก” หาแก่นหาสาร อะไรไม่ได้

เรื่องที่จะจะเขียนถึง คือเรื่อง การเปิดเวทีพูดคุย ระหว่างขบวนการกับเจ้าหน้าที่รัฐ ตัวแทนหน่วยงานรัฐ หรือตัวแทนฝ่ายการเมือง กับกลุ่มคนผู้เห็นต่าง เห็นผิด หรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กับนโยบายของรัฐที่ใช้ในการบริหาร และแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

เพราะการเปิดเวทีพูดคุย หรือจะเรียกว่า “เจรจา” หรืออะไรก็แล้วแต่ ณ วันนี้ เป็นเรื่องการแก้ปัญหาที่ถูกต้องที่สุดกับการยุติ ความไม่เข้าใจความไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างยาวนานของปลายด้ามขวาน

และเป็นไปตามยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาความไม่สงบ ที่สภาความมั่นคงเป็นผู้กำหนด และรัฐบาลได้นำเข้าสู่สภาฯ และผ่านความเห็นชอบของสภาฯ เพื่อบังคับใช้ โดยในยุทธศาสตร์ของ สมช.ในข้อที่ 8 วงเล็บ 1 วงเล็บ 2 เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องให้เปิดพื้นที่พูดคุย เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ที่เห็นต่างหรือไม่เห็นด้วย

โดยข้อเท็จจริง การติดต่อ พูดคุยกันระหว่างตัวแทนของรัฐ ตัวแทนของ “การเมือง” ตัวแทนของหน่วยงานต่างๆ กับผู้นำขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่การเผาโรงเรียน 36 โรง ในปี 2536 เป็นต้นมา การพบปะ พูดคุย มีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะหน่วยงานที่ “นายเหนือ” อ้างว่า ไม่มีนโยบายในการพูดคุยเจรจากับโจรนั้น เหล่านี้มีการพบปะกับโจรมากที่สุด และแต่ละปีมีการใช้ “งบลับ” เพื่อพูดคุยกับโจรมากมายมหาศาลทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ข้อเท็จจริงอีกเรื่องที่ “สาธารณะ” ควรรู้ คือ การก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วันนี้ มีตัวละครของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศของเราอยู่ 2 ขบวนการเท่านั้น

ขบวนการที่ 1 คือ ขบวนการ บีอาร์เอ็นโคออดิเนต ซึ่งขณะนี้พวกเราไม่เรียกตัวเองว่า “บีอาร์เอ็นฯ” แล้ว แต่เรียกตัวเองว่า “นักรบฟาตอนี” หรือ “นักรบปัตตานี” ส่วนที่เรียกว่า “บีอาร์เอ็นฯ” เรา หมายถึง เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้เรียก เพื่อที่จะใช้ในการจำกัดความว่าเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนเท่านั้น

บีอาร์เอ็นฯ หรือ นักรบฟาตอนี เป็นกำลังติดอาวุธที่คนอ่านข่าวติดตามความเคลื่อนไหวของเหตุความไม่สงบรู้จักกันในนาม “อาร์เคเค” จนเข้าใจผิดว่า “อาร์เคเค” เป็นชื่อของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ขบวนการนี้ใช้กองกำลังติดอาวุธทำลายล้างด้วยความรุนแรงในทุกรูปแบบ ใน 3 จังหวัด และ 5 อำเภอของ จ.สงขลา (รวม อ.หาดใหญ่) เพื่อทำลายความเชื่อมั่นของรัฐไทย เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้น โดยผลสุดท้ายที่ต้องการ คือ ให้เห็นถึงความล้มเหลวของอำนาจรัฐ และมีอิทธิพลต่อการควบคุมมวลชนในพื้นที่

สิ่งที่น่าสังเกตคือ นับตั้งแต่ปี 2536 ซึ่งเป็นปีที่ “บีอาร์เอ็นฯ” ปฏิบัติการต่อรัฐไทยด้วยกองกำลังติดอาวุธ บีอาร์เอ็นฯ ไม่เคยเคลื่อนไหวในเวทีโลก ไม่เคยมี เอกสาร จดหมาย หรือบุคคลไปร้องเรียนเรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้แต่อย่างใด

ขบวนการที่ 2 คือ ขบวนการพูโล ซึ่งในอดีตเคยเป็นกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่ติดอาวุธใหญ่ที่สุดที่เคลื่อนไหวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้การนำของอดีตผู้นำอย่าง ยูโซ๊ะ ปากีสถาน, สะมาแอ ท่าน้ำ, ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ และใครต่อใครอีกหลายคนที่ผู้ติดตามข่าวความไม่สงบต่างคุ้นชื่อเสียงเรียงนาม แต่ปัจจุบัน กองกำลังติดอาวุธของพูโลในพื้นที่ปลายด้ามขวานของไทยไม่มีแล้ว

พูโลมีภารกิจที่สำคัญเพียงอย่างเดียว คือ การเคลื่อนไหวโจมตีประเทศไทยในเวทีโลก เช่น ร้องเรียนข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติ ร้องเรียนองค์การสหประชาชาติ ร้องเรียนองค์กรประชุมมุสลิมโลก หรือโอไอซี ถึงความอยุติธรรม ถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีต่อคนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เท็จบ้าง จริงบ้าง รวมทั้งการเรียกร้องให้รัฐไทยเจรจากับตนเองเพื่อยุติความไม่สงบที่เกิดขึ้น

สิ่งที่เป็นข้อสังเกต คือ แม้ขบวนการพูโลจะไม่มีกองกำลังติดอาวุธ ไม่ได้ก่อวินาศกรรม ไม่ได้ฆ่าคนแล้ว แต่พูโลยังมีบทบาทในเวทีโลก และในเวทีข่าวสาร ซึ่งทั้งยูเอ็น ทั้งโอไอซี และประเทศที่สามบางส่วนยังให้ความสำคัญ และยังเชื่อข้อมูลที่พูโลร้องเรียน เรียกร้อง และการเคลื่อนไหวของพูโลในเวทีโลกซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐไทยเองต้องปวดหัวคอยตามล้างตามเช็ด “แก้ต่าง” ข้อกล่าวหาอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น วันนี้เท่ากับว่า “รัฐไทย” มีศัตรูอยู่ 2 พวก เหมือนปลูกบ้านอยู่ตรงกลางขนาบด้วย “บีอาร์เอ็นฯ” และ “พูโล” โดยทุกเช้าทุกเย็นบีอาร์เอ็นฯ ต้องยิงปืนใส่บ้านเราวันละ 3 เวลา ในขณะที่ “พูโล” ทำหน้าที่ “ประจาน” เอาให้เพื่อนบ้านฟังว่า บ้านเราโหดร้ายทารุณกับคนในบ้านแบบละเมิดสิทธิมนุษยชนและเฆี่ยนตี ตัดสินความผิดถูกด้วยความไม่เป็นธรรมระหว่าง “ลูกเอง” กับ “ลูกเลี้ยง” ซึ่งสิ่งที่บีอาร์เอ็นฯ และพูโลกระทำ สร้างความสูญเสีย เดือดร้อน รำคาญ และเราก็แก้ไม่ตกมาเป็นเวลานาน

วันนี้ ทางออกที่ทุกฝ่ายเห็นด้วย ยกเว้น “กองทัพ” คือ ต้องเปิดพื้นที่พูดคุยเพื่อลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พูดคุยกับพูโลเพื่อให้หยุดการเรียกร้อง ร้องเรียนต่อยูเอ็น ต่อโอไอซี และต่อประเทศมุสลิม ซึ่งหากทำได้สำเร็จ “แนวรบ” ในเวทีโลกจะได้ยุติ และเราจะได้ใช้เวลาและวิธีการต่างๆ มา “จัดการ” กับกองกำลังติดอาวุธของ “นักรบฟาตอนี” ในพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอ

อย่าถามว่า “จะเจรจากับใคร” และอย่างตั้งโจทย์ให้ยากว่า โจรมีหลายกลุ่ม เพราะถ้าจะพูดคุย หรือเจรจามีคนที่พร้อมจะพูดคุย และเจรจาอยู่แล้ว และอย่ากลัวว่าการเจรจาจะเป็นการยกระดับ เพราะทุกอย่างอยู่ที่วิธีการ และการบริหารจัดการ เพราะการยกระดับนั้น ถึงไม่เจราจา ไม่พูดคุย โจรก็สามารถยกระดับได้ เช่นการวาง “คาร์บอมบ์” ใต้ถุนโรงแรมลี การ์เดนส์ ที่ อ.หาดใหญ่ ก็คือการยกระดับ เป็นการยกระดับการก่อความไม่สงบให้เป็นการ “ก่อการร้าย” และยิ่งเกิดคาร์บอมบ์ถี่เท่าไหร่ นั่นแหละคือการยกระดับโดยที่ไม่ต้องเจรจา

ส่วนที่มักจะตั้งโจทย์ให้ยากว่า โจรมีหลายกลุ่ม ไม่รู้จะพูดกับกลุ่มไหน เป็นเรื่องของคนปัญญาอ่อน เพราะยิ่งโจรมีหลายกลุ่ม ยิ่งแสดงให้เห็นว่า โจรไม่มี “เอกภาพ” เหมือนกับหน่วยงานของรัฐเป๊ะเลย ดังนั้น ยิ่งหลายกลุ่มยิ่งง่ายในการพูดคุย เพื่อสลายไปทีละกลุ่ม สำหรับผมสิ่งที่กลัวคือ โจรจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเดียว นั่นแหละที่การพูดคุยจะยากขึ้น เพราะโจรมีอำนาจในการต่อรองสูง จนเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

สิ่งที่เราลืมไปคือ ในโจรกลุ่มต่างๆ มีทั้งเป็นโจรอุดมการณ์ เป็นโจรแบบตกกระไดพลอยโจน เป็นโจรเพราะถูกบีบบังคับ เป็นโจรเพราะจำยอม และเป็นโจรเพราะหลงผิด ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีการนำโจรชนิดต่างๆ ที่พอจะกลับตัวกลับใจได้ออกมาด้วยการเปิดพื้นที่พูดคุย ส่วนที่พูดคุยไม่รู้เรื่องก็ใช้วิธีการอื่นๆ ในการ “จัดการ” ซึ่งวิธีการแบบนี้เรียกกันว่า เป็นยุทธการ “ทุบทีละนิ้ว กินทีละคำ”

ท่านผู้อ่านครับ วันนี้ผมเขียน “จุดคบไฟใต้” ด้วยความยืดยาว เพียงเพื่อชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ใช้อาวุธ และกำลังทหาร ตำรวจ พลเรือนกว่า 100,000 คน และงบประมาณกว่า 100,000 ล้าน ในเวลา 8 ปีที่ผ่านมา เป็นการสูญเปล่า ซึ่งน่าจะสรุปได้แล้วว่า วิธีการที่ทำมา 8 ปี ล้มเหลว ดังนั้น การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น จึงต้องใช้การพูดคุย หรือจะเจรจาก็แล้วแต่จะเลือก

ส่วนใครจะเป็นผู้ไปพูดคุย หรือเจรจากับใครนั้น คนใน 3 จังหวัด 5 อำเภอ ไม่ได้สนใจว่าจะเป็น นาย ก. นาย ข.หรือนายหมา นายแมวที่ไหน ขอเพียงให้ทำแล้วสามารถ “ยุติ” เหตุรุนแรง หยุดการตาย การระเบิดได้ ถือเป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง

แต่มีข้อแม้ว่าต้องหยุดคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ไว้นอกเวที เพื่อที่จะไม่ทำให้การพูดคุย หรือเจรจาต้องล้มเหลว และกลายเป็นความวุ่นวายเกิดขึ้นเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งควรเป็นบทเรียนสำหรับการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น