โดย...ไม้ เมืองขม
สถานการณ์การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รุนแรงมากขึ้นในช่วงของเดือนรอมฎอน (ถือศีลอด) หน่วยข่าวความมั่นคงต่างอ้างสาเหตุว่า เกิดจากการปลุกระดมของ “อุสตาส” ต่อ “อาร์เคเค” ให้ปฏิบัติการในช่วงของเดือนรอมฎอนเพื่อที่จะได้บุญจากการก่อการร้าย เข่นฆ่าศัตรู มากกว่าในเวลาปกติถึง 10 เท่า ดังนั้น หน่วยงานความมั่นคงจึงเชื่อว่า หลังเดือนรอมฎอนสถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะลดลงในอยู่ในเกณฑ์ปกติ นั่นคือ มีเหตุการณ์ร้ายวันละไม่ต่ำกว่า 3 เหตุการณ์
น่าจะเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ผิดพลาดอีกครั้งของ “หน่วยข่าวความมั่นคง” เพราะหลังเดือนรอมฎอนสถานการณ์การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เช่น การก่อเหตุร้ายใน จ.นราธิวาส วันละ 4-5 เหตุการณ์ และการก่อเหตุร้ายใน จ.ปัตตานี วันละ 6-7 ครั้ง โดยเฉพาะการก่อวินาศกรรมโชว์รูมรถยนต์ที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นธุรกิจของนายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล เจ้าของโรงแรมซีเอส ปัตตานี และเป็นโรงแรมซีเอส ปัตตานี ที่ถูก “คาร์บอมบ์” เมื่อต้นเดือนสิงหาคม จนโชว์รูม และรถยนต์ป้ายแดง 15 คันวอดวายในกองเพลิง รวมทั้งการขว้างระเบิดใส่บ้านชาวไทยพุทธที่หมู่บ้านทุ่งคม อ.ยี่งงอ จ.นราธิวาส
ปฏิบัติการทั้งหมดทำให้เป็นว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มี “บีอาร์เอ็นฯ” เป็นหัวขบวนยังมีเข็มมุ่งในการทำลายฐานทางเศรษฐกิจของคนไทยเชื้อสายจีน และการขับไล่คนไทยพุทธออกจากพื้นที่ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายวิธีการที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้ปฏิบัติการต่อพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
สิ่งที่เป็นข้อสังเกตคือ ในขณะที่ยุทธวิธีของ “อาร์เคเค” ยังเป็นแบบเดิมๆ ตลอดระยะเวลา 9 ปีของการก่อความไม่สงบครั้งใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระเบิดถังดับเพลิงฝังใต้ถนน การประกอบคาร์บอมบ์จากรถยนต์ที่โจรกรรมมา การซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร การขับรถประกบยิงเจ้าหน้าที่และประชาชน การเผาโรงเรียน การเผาทำลายโชว์รูมบริษัท ห้างร้าน และสิ่งสาธารณประโยชน์ การยิง และระเบิดหม้อแปลงไฟฟ้า การเผาเสาสัญญาณโทรศัพท์ การกราดยิงร้านน้ำชา และในระยะหลัง มีการใช้ระเบิดมากขึ้น และในการประกอบระเบิดแต่ละครั้งก็มีการใช้น้ำมันเบนซินเป็นตัวประกอบ เพื่อให้เกิดเพลิงไม้สถานที่ที่ถูกระเบิดเพื่อเพิ่มความสูญเสียให้มากขึ้น
ในขณะที่วิธีการของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังคงเป็นที่ผิดหวังต่อประชาชนในพื้นที่ เพราะยังไม่สามารถหยุดเหตุการณ์ร้ายให้ลดน้อยลงแต่อย่างใด รวมทั้งไม่สามารถสร้างความสูญเสียให้แก่ “อาร์เคเค” ที่ยังปฏิบัติการอย่างเสรีในทุกพื้นที่ที่พวกเขาต้องการทำ รวมทั้งหลายๆ พื้นที่ซึ่งไม่เกิดเหตุร้าย วันนี้ มีการก่อเหตุร้ายขึ้น เช่น ใน อ.ยี่งอ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส อ.กาบัง จ.ยะลา รวมทั้งการตรวจค้นหารถยนต์ ที่ กอ.รมน.แจ้งว่ามีจำนวน 15 คันที่ถูกโจรกรรมไปประกอบเป็น “คาร์บอมบ์” เพื่อรอโอกาสถล่มพื้นที่เป้าหมาย เวลาผ่านไป 1 เดือนยังไม่พบว่า รถยนต์ที่เป็น “คาร์บอมบ์” ถูกซุกซ่อนในกระเป๋าเสื้อของ “อาร์เคเค” คนไหน ดังนั้น ผู้คนในเมืองเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยังคงต้องผวากับ “คาร์บอมบ์” ทั้ง 15 คัน เพราะไม่รู้ว่าจะมาถึงเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ในวันไหน
แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่รัฐบาล และกองทัพได้ทำในวันนี้เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ การเร่งดำเนินการจัดตั้งหน่วยงานใหม่คือ “ศูนย์ปฏิบัติการแก้ปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือชื่อย่อว่า “ศปก.จชต.” โดยอ้างเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนรอมฎอน เพื่อตั้งหน่วยงานใหม่อย่างรีบเร่ง จนสวนทางกับความเห็นของ “สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” และ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” รวมถึงนักการเมืองส่วนหนึ่งในพื้นที่ ซึ่งเห็นว่า ศปก.จชต.เป็นหน่วยงานที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งไม่เห็นประโยชน์อะไรในการตั้ง ศปก.จชต.ขึ้นที่ส่วนรื่นฤดี เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่รายงานสถานการณ์ให้ทราบ และมีการสั่งการจาก ศปก.จชต.ที่อยู่ในส่วนกลาง เพราะสุดท้าย อาจจะทำให้การตัดสินใจแก้ปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ล่าช้า และผิดพลาดมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่เห็นชัดถึงความไม่เข้าใจต่อสถานการณ์อันแท้จริงในพื้นที่ของผู้หลักผู้ใหญ่ใน “ส่วนกลาง” ที่เห็นชัดเจน คือ การหยิบจับเอาเรื่องเก่าๆ มาเปิดประเด็นเป็นข่าว เช่น เรื่อง “มุสลิมเขมร” ที่เดินทางจากเขมรเข้าประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกว่า 10 ปีแล้ว และเป็นเรื่องการเดินทางผ่านภาคใต้ไปทำมาหากินที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย เพราะ 9 ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ไม่เคยจับกุมมุสลิมเขมรที่เป็น “อาร์เคเค” และในการปะทะ หรือวิสามัญ “อาร์เคเค” แต่ละครั้งก็ไม่เคยพบศพของคนต่างชาติแต่อย่างใด แต่วันนี้กลับมีการหยิบเรื่องเก่าๆ มายึดโยงกับเรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบ ซึ่งเป็นลักษณะของการรู้ไม่จริง
หรือการออกมาเปิดประเด็นว่า “พ.ร.บ.ศอ.บต.” เป็นอุปสรรคในการดับไฟใต้ของผู้รู้ไม่จริงในส่วนกลาง ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้พูด และสั่งการในส่วนกลางเป็นผู้รู้ไม่จริง และไม่ฟังเสียงของประชาชนของหน่วยงานในพื้นที่ ไม่ได้ “เข้าใจ เข้าถึง” ตามยุทธศาสตร์ของการแก้ปัญหา แต่มุ่ง “เข้าใจเอาเอง” และเข้าว่าสิ่งที่ได้ดำเนินการไปนั้นถูกต้องแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีคำตอบที่ชัดเจนว่า ทำไม 9 ปีของการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึง “ล้มเหลว” เพราะมวลชนไม่ตอบสนองต่อนโยบายของกองทัพ และของรัฐบาล เพราะสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องถูกเพิกเฉย แต่สิ่งที่ประชาชนไม่ต้องการกลับถูกหยิบยื่นมาให้
สิ่งที่ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกร้องให้มีการแก้ไข คือ การย้ายกำลังจากกองทัพภาค 1 ภาค 2 และภาค 3 ออกจากพื้นที่ และให้ใช้กำกลังกองทัพภาคที่ 4 รับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยแทน เพราะกำลังจากกองทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นคนในภาคใต้จะมีความเข้าใจในทุกเรื่องราวมากกว่ากำลังพลจากภาคอื่นๆ คนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องการให้ ศอ.บต.เดินหน้าในมิติของงานด้านการพัฒนาและอื่นๆ ตามที่ พ.ร.บ.ศอ.บต.กำหนดไว้ ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้ยกเลิก “พ.ร.ก.ความมั่นคงฯ” ในพื้นที่ซึ่งไม่มีเหตุการณ์ร้าย แต่ทุกเรื่องที่เป็นความต้องการของประชาชนกลับถูกเพิกเฉย
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การที่หน่วยข่าวความมั่นคงวิเคราะห์ว่า หลังเดือนรอมฎอนแล้วสถานการณ์การก่อการร้ายจะลดลงนั้น เป็นการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด การตั้ง “ศปก.จชต.” ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง สถานการณ์ต่อจากนี้ไปการก่อเหตุร้ายจะทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายที่ชัดเจน คือ หมู่บ้านไทยพุทธ และพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งจะมีการใช้ระเบิดทั้งแบบคาร์บอมบ์ จยย.บอมบ์ และชนิดต่างๆ มากยิ่งขึ้น เพราะ “บีอาร์เอ็นฯ” จับประเด็นของเงื่อนไขแห่งความ “ขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นระหว่าง “กอ.รมน.” กับ “ศอ.บต.” มาเป็นประเด็นการขยายผลต่อประชาชนในพื้นที่
โดยข้อเท็จจริง “แม่ทัพภาคที่ 4” ในฐานะ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” คือผู้รู้แจ้ง เห็นจริงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น การแก้ปัญหา การปรับแผน ปรับวิธีการทั้งในการสู้รบ และอื่นๆ จึงเป็นหน้าที่โดยตรง เพราะเป็นผู้เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น วิธีการที่ดีที่สุด คือ การแก้ปัญหาในพื้นที่โดยแม่ทัพภาคที่ 4 เพราะวันไหนที่มีคนจากกรุงเทพฯ มาสั่งการแทนอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น วันนั้น จะเป็นวันที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะ “จมปลัก” อยู่กับความ “หายนะ” ที่เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่