ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ต้องยอมรับความจริงว่า สถานการณ์การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เริ่มความรุนแรงระลอกใหม่ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา อาวุธที่สมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือที่รู้กัน และเรียกขานในนามของ “อาร์เคเค” คือ “คาร์บอมบ์” และ “จยย.บอมบ์” ที่ถูกมาเป็นเครื่องมือการก่อการร้าย และได้ผลในการสร้างความสูญเสีย ทั้งชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนและของรัฐ รวมทั้งสร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
รวมทั้งในอนาคต หากเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่สามารถหยุดการปฏิบัติการด้วย “คาร์บอมบ์” ได้ สงคราม “คาร์บอมบ์” จะนำภูมิภาคปลายด้ามขวานเข้าสู่เวทีของ “โอไอซี” และ “ยูเอ็น” หรือสหประชาชาติ เนื่องจากตัวเลขของคนตาย คนเจ็บ ทั้งเด็ก คนชรา และสตรี รวมทั้งความสูญเสียที่มากขึ้น
ดังนั้น หนึ่งในยุทธวิธีในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการ “ดับไฟใต้” จะต้องดำเนินการโดยเร็ว คือ การหยุดยั้งวิธีการก่อการร้ายโดยใช้ “คาร์บอมบ์” ซึ่งเป็นอาวุธหนักของ “อาร์เคเค” ให้ได้ ซึ่งมีอยู่หลายวิธี เช่น
การออกมาตรการควบคุมอู่ซ่อมรถยนต์ และเต็นท์จำหน่ายรถมือสองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัด อันประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอู่ซ่อมรถยนต์ และเต็นท์ขายรถยนต์มือสองเป็นจำนวนมาก ซึ่งสวนทางกับเศรษฐกิจที่ซบเซา และหน่วยงานความมั่นคงได้ระบุว่า อู่ซ่อมรถ และเต็นท์รถมือสอง ส่วนหนึ่งมีความเกี่ยวพันกับขบวนการก่อการร้าย ในพื้นที่ 2 รูปแบบด้วยกัน
รูปแบบที่ 1 คือ เป็นการเปิดอู่ซ่อมรถบังหน้า แต่ที่แท้จริงเป็นการทำธุรกิจค้ายาเสพติด โดยใช้ธุรกิจอู่ซ่อมรถ และเต็นท์รถยนต์มือสอง เพื่อ “ฟอกเงิน” และเพื่อ “ฟอกตัว” โดยขบวนการค้ายาเสพติดเหล่านี้ สนับสนุนเงินส่วนหนึ่งให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพื่อใช้ในการก่อการร้าย เพราะต้องการใช้สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เป็นช่องทางในการค้ายาเสพติด
รูปแบบที่ 2 คือ อู่ซ่อมรถยนต์ และเต็นท์จำหน่ายรถมือ 2 ส่วนหนึ่ง เป็นกิจการของเครือข่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพื่อต้องการใช้กิจการดังกล่าวในการดัดแปลงสภาพของรถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่โจรกรรมการมา เช่น การแปลงสภาพ การพ่นสี ติดสติ๊กเกอร์ให้ดูเหมือนเป็นรถยนต์ของทางราชการ เช่นเคยแปลงสภาพรถที่ประกอบเป็น “คาร์บอมบ์” ให้เป็นรถของสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี และแปลงสภาพรถที่โจรกรรมมาให้เป็นเหมือนรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อใช้ในการบุกโจมตีจุดตรวจของเจ้าหน้าที่
วิธีการหนึ่งที่ กอ.รมน. ควรจะเร่งดำเนินการ คือ การเข้าตรวจสอบอู่ซ่อมรถ และเต็นท์รถมือสองในพื้นที่ทั้งหมด เพื่อจัดระเบียบให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมดูแลได้ และต้องมีการจัดเจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบดูแลรถยนต์ทุกคันที่เข้า-ออก ในอู่และในเต็นท์ เพื่อป้องกันการนำรถที่โจรกรรม หรือที่ซื้อ-ขาย แบบไม่ถูกต้องมาประกอบเป็น “คาร์บอมบ์” หรือมาดัดแปลงให้เหมือนกับรถยนต์ของหน่วยงานราชการ เพื่อใช้เป็นยานพาหนะในการโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชน
ที่ผ่านมา 8 ปี และย่างเข้าปีที่ 9 ที่เกิดเหตุความไม่สงบ ไม่มีหน่วยงานไหนจริงจังกับการจัดระเบียบอู่รถยนต์ในพื้นที่ ทั้งที่รู้กันดีว่า หลายต่อหลายอู่ในพื้นที่ จ.นราธิวาส เป็นแหล่งดัดแปลงรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมาจากฝั่งประเทศมาเลเซีย เพื่อส่งขายให้แก่ผู้ต้องการรถยนต์ที่เป็น “รถโจร”
และอีกประเด็นหนึ่ง คือ การดำเนินการกับร้านที่รับทำป้ายทะเบียนรถยนต์ที่มีอยู่ใน อ.หาดใหญ่ อ.สะเดา จ.สงขลา และอาจจะมีในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งโดยข้อกฎหมายแล้ว การทำแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นแผ่นป้ายเลียนแบบที่ไม่มีเครื่องหมายของสำนักงานขนส่งในแผ่นป้าย และโดยข้อกฎหมายอีกเหมือนกันที่บังคับให้รถยนต์ที่แผ่นป้ายหาย ต้องไปขอรับแผ่นป้ายใหญ่ที่ขนส่งจังหวัดที่รถยนต์จดทะเบียนเท่านั้น
แต่วันนี้ เจ้าหน้าที่ปล่อยให้มีร้านรับทำแผ่นป้ายทะเบียนผิดกฎหมายเกิดขึ้นจำนวนมาก และ “อาร์เคเค” ก็สั่งให้ร้านเหล่านี้ทำแผ่นป้ายทะเบียนปลอมเพื่อใช้กับรถยนต์ที่เป็น “คาร์บอมบ์” และเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการก่อเหตุร้ายรายวัน
ในปี 2552 ซึ่งการดับไฟใต้ มีหน่วยงานสองหน่วยรับผิดชอบ คือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ พตท. โดยมี พล.ท.กสิกร คีรีศรี เป็น ผบ.พตท. ได้ออกมาตรการจัดระเบียบรถยนต์ใน 3 จังหวัด 4 อำเภอ ด้วยการติดสติกเกอร์รถยนต์ทุกคันที่จดทะเบียนใน 3 จังหวัด และ 4 อำเภอ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจสามารถตรวจสอบได้ว่า เป็นรถที่ถูกต้อง และอยู่ในพื้นที่ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ไว้แล้ว แต่ทำไปเพียงระยะหนึ่งก็เลิก โดยไม่มีการบอกสาเหตุว่าเป็นเพราะ ไม่ได้ผล หรือเป็นเพราะเจ้าของโครงการเกษียณอายุราชการ
และในวันที่ 8 ส.ค. 2555 ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั่งเป็นประธานเพื่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งกรมการขนส่งทางบก ได้เสนอให้มีการซีลทะเบียนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อป้องกันการถอดทะเบียนรถยนต์ และนำป้ายปลอมมาติดแทน เพราะหากมีการ “ซีล” ป้ายทะเบียนแล้วมีการถอดออก เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจจะทราบทันทีว่าเป็นรถเถื่อน และนอกการ “ซีล” ป้ายทะเบียนรถยนต์แล้ว ยังมีการเสนอให้ “ซีล” ทะเบียนรถจักรยานยนต์ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ เพื่อป้องกันการนำรถจักรยานยนต์ไปทำเป็น จยย.บอมบบ์ อีกด้วย
สำหรับวิธีการ “ซีล” ป้ายทะเบียนรถยนต์ และจักรยานยนต์เป็นเรื่องที่ดีและสมควรทำ เพราะสุจริตชนไม่ได้รับผลกระทบอันใด เพียงแต่อาจจะจ่ายเงินค่าแผ่นป้ายทะเบียนเพิ่มขึ้น เพื่อความปลอดภัยของส่วนรวม เพื่อช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ใน 4 จังหวัดสะดวกมากขึ้น ดีกว่าการจัดงบประมาณซื้อ “เรือเหาะ” ที่จนบัดนี้ยัง “เหาะ” ไม่ได้ หรือดีกว่าการจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิด จีที 200 ที่สุดท้ายมีค่าน้อยกว่า “สากกระเบือ” เพราะไม่สามารถตรวจสอบระเบิดได้แต่อย่างใดทั้งสิ้น
และอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของจุดตรวจด่านสกัดของเจ้าหน้าที่ใน 4 จังหวัด คือ รถยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งเป็นทั้งรถเก๋ง และรถกระบะที่เจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ ใช้อยู่ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคนร้ายก็ใช้วิธีการเดียวกับเจ้าหน้าที่ คือ ใช้รถยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนในการก่อเหตุร้ายเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุร้าย และมีการสั่งการให้ตรวจจับรถยนต์ที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน รถที่ถูกเรียกตรวจสอบล้วนเป็นรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ จนกลายเป็นเหตุที่ประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ และไม่เข้าใจ ต่างวิพากษ์วิจารณ์เป็นเสียงเดียวกันว่า เจ้าหน้าที่ คือ ผู้ก่อเหตุ และเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ นั่นคือ ทหาร ตำรวจ ที่เป็นเจ้าของรถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน และเรื่องเหล่านี้ ก็ถูกปล่อยข่าวไปทั่ว จนกลายเป็นความเชื่อของประชาชนว่าเป็นความจริง จริงอย่าแปลกใจที่สถานการณ์ผ่านไป 8 ปี และเข้าสู่ปีที่ 9 แต่เรื่องราวเจ้าหน้าที่รัฐสร้างสถานการณ์ยังขายได้ และชาวบ้านก็ยังเชื่อว่าเป็นความจริง
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องเข้าใจว่า สงครามในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสงครามกองโจร ที่ยุทธวิธีของ “อาร์เคเค” มีการพลิกแพลง และคิดยุทธวิธีใหม่ๆ เพื่อสร้างความสูญเสียให้แก่ฝ่ายรัฐอยู่ตลอดเวลา การควบคุมยานพาหนะ ควบคุมยุทธปัจจัยเป็นเพียงยุทธวิธีหนึ่งเท่านั้น ถ้าตราบใดที่ขาดการร่วมมือจากภาคประชาชน และขาดงานการข่าวที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง การที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะหยุดความสูญเสียจาก “คาร์บอมบ์” จึงเป็นสิ่งที่ท้าท้ายอย่างยิ่ง