โดย...นักข่าวชายขอบ
“คนเสื้อแดงพร้อมเป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะมีคนเสื้อแดงราว 2,000 คนยืนตลอดสองข้างทางไม่ให้ใครก่อกวน” เป็นคำประกาศของขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดงแห่งอุดรธานี ที่ประกาศขณะที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเดินทางไปประชุม ครม.สัญจรที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีเมื่อวันก่อน
ประโยคนี้ทำเอาสะท้อนเสียวในหัวใจทีเดียว รัฐบาลนี้จะปกป้องดูแลประชาชน หรือประชาชนจะปกป้องดูแลรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลจะสำแดงอาละวาดผาดแผลงพิสดารผลาญบ้านเมืองนี้กระนั้นหรือ อย่างไรก็ตาม คงไม่ว่ากันเพราะคนในประเทศนี้มีตั้ง 70 ล้านคนเข้าไปแล้วใครจะคิดอย่างไรคงเป็นสิทธิ เสรีภาพกระมัง
พฤติกรรมมวลชนของคนเสื้อแดงนับแต่เริ่มนับหนึ่งมาจนถึงบัดนี้ย่างเข้า 4-5 ปีไปแล้วเช่นเดียวกัน คนที่มีบทบาทนำของคนเสื้อแดงมีอยู่เพียงไม่กี่คนที่มีลักษณะเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือการใช้จิตวิทยามวลชนเข้าปลุกปั่น ยุยง และใช้ประดิษฐกรรม “ทำซ้ำ” เพื่อสร้างความเกลียดชังฝ่ายที่คิดเห็นแตกต่างไปว่านั่นคือศัตรู นั่นคือพวกอำมาตย์
ส่วนคนเสื้อแดงเองอยู่ในชั้นชนไพร่ ที่ต้องต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ชั้นไพร่ และมวลชนที่เกิดจากการใช้จิตวิทยามวลชนเช่นนี้ เชื่อได้อย่างสนิทใจจริงๆ และเชื่ออย่างหัวปักหัวปำ โดยเข้าใจสิ่งที่เชื่อนั้นว่ามันคือประชาธิปไตย เป็นเสียงข้างมากเป็นผู้ชนะ ไม่มีอำนาจอื่นใดที่ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของประชาชน แม้กบิลบ้าน กบิลเมือง
อำนาจอธิปไตยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทย มีหลักการที่สำคัญคือการดุลอำนาจ หรือหลักการที่ฝรั่งเรียกว่า “Check and Balance” นั่นเอง อันประกอบไปด้วยอำนาจ 3 ฝ่ายคือ อำนาจฝ่ายบริหาร อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ และอำนาจฝ่ายตุลาการ โดยหลักการเนื้อแท้นั้นเป็นหลักการที่ดีมากที่ทั้ง 3 ฝ่ายจะต้องดุลอำนาจซึ่งกันและกัน
อย่ากระนั้นเลย ผมว่าทฤษฎีนี้ไม่สามารถใช้ได้กับประเทศไทย อย่างที่เห็น ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภานั้นหลายสมัยที่ผ่านมาฝ่ายบริหารย่อมต้องมีสิทธิสภาพในฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นเสียงข้างมากอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีฝ่ายค้านคอยตรวจสอบแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการพ่นน้ำลายในสภากันทั้งสองฝ่าย หลักการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ไม่เคยใช้ได้จริง เห็นคงยังจะมีแค่อำนาจฝ่ายตุลาการที่พอจะพึ่งพิงพึ่งพาอาศัยได้ ยกเว้นผู้ที่ใช้อำนาจตุลาการบางคนอาจจะเห็นแค่คำว่า “บกพร่องโดยสุจริต” โดยเต็มใจที่จะบกพร่องเป็นเชื้อก่อตัวหนึ่งที่ทำให้เชื้อโรคร้ายกลายพันธ์ลุกลามสร้างความเสียหายให้แก่สังคมไทยอย่างใหญ่หลวงมาจนถึงนาทีนี้
ในเมื่อไม่สามารถควบคุมอำนาจให้เป็นไปตามที่ต้องการได้แล้ว มีทางเดียวคือต้องล้มกระบวนการตุลาการเสียให้สิ้นทั้งการทำลายความน่าเชื่อถือ ผ่านช่องทางต่างๆ และเป็นไปในทำนองว่าตุลาการล้มอำนาจประชาชน ประชาชนใหญ่ที่สุดในแผ่นดินแถกแถสีข้างไป ตรรกะแบบนี้มันอายสัตว์ครับสัญชาตญาณของสัตว์สังคมอย่างผึ้ง ปลวก มันยังรู้จักหน้าที่ รู้จักภาระที่ต้องทำในสังคมของมัน
ขบวนการเสื้อแดงที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ดูถูกการเคลื่อนไหวของประชาชนที่มาร่วมเคลื่อนไหว ต่างคนต่างความคิด แต่เมื่อผ่านกระบวนการเป่ากระหม่อมของแกนนำทั้งหลายทั้งปวงแล้วเห็นเป็นไปราวกับหุ่นพยนต์ควายธนู พร้อมเป็นพร้อมตายได้อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งเจอกับคำว่าอำมาตย์ ไพร่ แล้วคนเสื้อแดงหลายคนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับโชคชะตาที่เกิดมาเป็นไพร่ จึงดิ้นรนต่อสู้ถวายหัวแล้วแต่จะสั่งการ เลือดตกอย่างออกถึงแก่ชีวาวายนั่นคือการตายอย่างวีรบุรุษ ไม่รู้ว่าหลังจากสิ้นชีพหมดลมไปแล้ววิญญาณจะรู้หรือไม่ว่ายังมีคนนำเอาศพแล่เนื้อเถือวิญญาณมาทำเบาะรองนั่งแสนนุ่มสบายในตำแหน่ง เลขา ที่ปรึกษา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีช่วยว่าการ เสนาบดี อำมาตย์ มหาอำมาตย์ทั้งนั้น
จำนวนศพ จำนวนไพร่ยิ่งมากยิ่งล้มอำมาตย์ได้ไม่ใช่หรือ แต่เมื่อไพร่ตายหัวหน้าไพร่กลับขึ้นชั้นเป็นเสนาบดี กินอยู่สบาย ไปไหนมีรถนำทาง คนขับ เลขาพร้อมมูล เงินทองไหลมาเทมา ไม่ขาดสาย กินเนื้อชิ้นงาม ที่ไพร่ทั้งหลายเป็นผู้ไล่ล่าหามาให้ เป็นเสนาบดีกันทั่วหน้า ส่วนไพร่ที่เหลือกลับกลายเป็นกากเดนถูกถีบหัวส่งลดชั้นประกาศตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล
ลืมไปว่ารัฐบาลในประเทศที่เจริญแล้ว มีหน้าที่ต้องดูแลประชาชนให้ทั่วถึง เท่าเทียม เป็นธรรม แต่มีผู้ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นไพร่อย่างเต็มภาคภูมิลดชั้นไพร่กลายเป็นขี้ข้าไปยืนตากหน้าดำคร่ำเครียดกลางแดดร้อนจ้า ประกาศเป็นองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล ความร้อนแดดแผดเผาจากดวงสุริยากลับไม่แผดเผาความรู้สึกนี้ให้หมดไปเลย ต้องรอเผากับเชิงตะกอนก่อนกระมัง