ถ้าจะว่าไปแล้วทักษิณคือผลพวงของรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ต้องการสร้าง Strong Prime Minister ขึ้นมาตามโมเดลของหมอประเวศ วะสี โดยลืมไปว่า อำนาจนั้นเป็นกิเลสทำให้คนเดินไปสู่เส้นทางของผลประโยชน์มากกว่าเส้นทางของความถูกต้องเที่ยงธรรม
และลืมไปว่าระบบสร้างกรอบกติกาขึ้นมาได้ แต่กำหนดจิตใจคนไม่ได้ ดาบที่ดีเล่มหนึ่งถ้าอยู่ในมือโจรก็ไม่ต่างไปจากเครื่องมือของคนชั่ว
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แกนนำเสื้อแดงและเพื่อไทยของทักษิณพยายามที่จะเคลื่อนไหวเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มาจากเผด็จการ ทั้งๆ ที่หากพิจารณาเนื้อหาของรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับแล้วรัฐธรรมนูญ 2550 มีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าในเชิงเนื้อหา เพียงแต่ลดทอนอำนาจนักการเมืองแล้วเพิ่มสิทธิของประชาชนมากขึ้น
เพราะรัฐธรรมนูญแบบ 2540 นั้นเป็นเครื่องมือชั้นดีของกลุ่มทุนที่เข้ามาสู่การเมือง
แต่เรากลับได้ยินกลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าสู้เพื่อประชาธิปไตย และบอกว่าประชาธิปไตยคือเสียงข้างมากของประชาชนเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ด้วยข้ออ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มีที่มาจากเผด็จการโดยไม่บอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่มีที่มาจากประชามติของประชาชนทั้งประเทศ และเก็บเอาสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญมาตรา 2540 มาเกือบทั้งหมดยกเว้นที่ลดความเป็น Strong Prime Minister ลงมาเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ง่ายขึ้น และหามาตรการป้องกันไม่ให้องค์กรอิสระถูกครอบงำได้ง่ายขึ้นเหมือนกับในยุคที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ
เวลาได้ฟังเหตุผลของฝ่ายที่ต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วก็ชวนให้นึกถึงนิทานเรื่องหาป่ากับลูกแกะที่แม้ลูกแกะจะไม่ได้ทำให้น้ำขุ่น แต่พ่อแกะทำให้น้ำขุ่น เคยได้ยินกระทั่งว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนขึ้นมาเพื่อจัดการกับทักษิณ (ซึ่งไม่รู้มาตราไหน)
แต่ถ้าพูดว่า รัฐธรรมนูญ 2550 เขียนขึ้นมาเพื่อจัดการกับกลุ่มทุนที่ซื้ออำนาจเข้ามาสู่การเมืองแล้วสร้างอำนาจนิยมไปสู่การแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเอง และทำลายการตรวจสอบในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนี่คือระบอบทักษิณอย่างที่นักวิชาการบางคนนิยามหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องนับว่านี่คือข้อดีของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่หรือ
ทักษิณหยิบฉวยประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีอย่างมากล้นมาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจถูกทำลาย แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่ปีหลังจากทักษิณหนีคุก นักวิชาการผู้เคยต่อต้านระบอบทักษิณจำนวนหนึ่งกลับกลายเป็นหางเครื่องของทักษิณในการต่อต้านฝ่ายที่ลุกขึ้นมาโค่นล้มทักษิณ เพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารที่โค่นล้มรัฐบาลที่ตัวเองด่าว่าฉ้อฉล
แต่เก็บเอาการที่เคยต่อต้านระบอบทักษิณมาเป็นเครื่องมือในการตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ดูดีว่าตัวเองเคยต่อต้านระบอบทักษิณมาก่อน โดยเฉพาะพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนที่เคยมี นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นหัวโจก
น่าประหลาดว่า ทักษิณซึ่งเป็นตัวแทนที่แจ่มชัดของ “ทุนนิยมสามานย์” กลับเป็นเทพเจ้าของนักวิชาการที่คิดว่าตัวเองมีแนวคิดเสรีประชาธิปไตย เพราะนักวิชาการเหล่านี้มักเข้าใจว่า องค์ประกอบสำคัญที่สุดของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ทั้งที่ในทัศนะของผมแล้วองค์ประกอบของประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดคือการใช้อำนาจหลังการเลือกตั้ง
เพราะเราคงไม่อาจบอกได้ว่า ถ้าเสียงข้างมากบอกให้ไปฆ่าใครแล้วคือความชอบธรรม
เราจึงเห็น “ขบวนการทักษิณ” ที่มีคนรอบตัวทักษิณฝ่ายซ้ายเก่าที่เคยร่วมหัวจมท้ายกับทักษิณสร้างขึ้นถูกทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประชาธิปไตยไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่เมื่อย้อนไปมองระบอบทักษิณแล้วไม่อาจเรียกได้ว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย และถ้ามันคือระบอบประชาธิปไตยก็คงไม่มีใครคิดคำว่าระบอบทักษิณขึ้นมาซ้อนทับ และระบอบทักษิณก็เป็นนัยที่สำคัญของเผด็จการทุนนิยมไม่ใช่หรือ
แล้วทักษิณซึ่งเป็นต้นตำรับตัวจริงของระบอบทักษิณจะมาเป็นผู้นำในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร
นักวิชาการบางคนไม่สนใจ “บริบททักษิณ” ที่มีเป้าหมายเพียงการทวงอำนาจคืนแกล้งทำตัวเป็นหน่อมแน้มอาโนเนะว่า มวลชนที่ห้อมล้อมทักษิณคือนักสู้เพื่อประชาธิปไตย สื่อบางค่ายถึงกับยกเอาแกนนำเสื้อแดงคือวีรบุรุษประชาธิปไตย แม้ว่ามวลชนจำนวนไม่น้อยจะมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ แต่การให้ท้ายขบวนการของทักษิณก็เหมือนผลักดันให้มวลชนจำนวนหนึ่งไปตายแล้วหลงเข้าใจว่าตายเพื่อประชาธิปไตยนั่นเอง
ตอนราชประสงค์เราเห็นแกนนำเสื้อแดงซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับสมาชิกพรรคเพื่อไทยของทักษิณมุ่งที่จะเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่มากกว่าเรื่องอื่นในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ และเมื่อเปิดให้มีการเลือกตั้งพวกเขาก็เข้าสู่อำนาจแล้วเข้าไปนั่งแทนอภิสิทธิ์ที่พวกเขาขับไล่
จากนั้นก็เอาเงินภาษีของประชาชนหลังได้อำนาจมาชดเชยให้ประชาชนที่ออกมาตายแทนเพื่อให้พวกเขาได้อำนาจรัฐ ส่วนเรื่องไพร่กับอำมาตย์ก็ลืมไปแล้ว เพราะตอนนี้หัวหน้าไพร่กำลังเป็นอำมาตย์เสียเอง ส่วนไพร่ที่รอดก็กลับไปเป็นประชาชนตาดำๆ เหมือนเดิม
วันนี้แกนนำเสื้อแดงจำนวนหนึ่งอาจจะยังคงสาละวนอยู่กับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยข้ออ้างแบบหมาป่ากับลูกแกะ แต่สำหรับทักษิณแล้วเป้าหมายของเขาอาจมีมากกว่าเพียงว่าทำอย่างไรให้ตัวเองพ้นผิดและได้เงินคืน (เงินอาจจะไม่เท่าไหร่เพราะวันนี้อำนาจอยู่ในมือแล้วเดี๋ยวเงินก็กลับมาเอง) หลังจากเดินเกมพลาดไปแล้ว 2 ครั้ง คือ อภัยโทษ และข้อเสนอล้มล้างผลพวงรัฐประหารเฉพาะ 19 กันยาของนิติราษฎร์
แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเขายังมีอำนาจรัฐอยู่ในมือหรือไม่ แม้พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ทักษิณก็มั่นใจว่าเขามีมวลชนที่ศรัทธาตัวเองมากพอ และยังมีลมหายใจที่ยาวนาน (แม้จะเคยมีข่าวจากเว็บไซต์เครือวอชิงตันโพสต์เป็น 1 ใน 5 ผู้นำที่เป็นตัวอย่างที่เลวเพราะไม่ได้สร้างความแตกต่างที่ดีให้กับโลกแล้วค่อยลดบทบาทหายไป)
สำคัญที่สุดก็คือ วันนี้ไม่เพียงแต่นักวิชาการจำนวนหนึ่งที่หันไปสวามิภักดิ์ทักษิณหรืออย่างน้อยก็ใช้ขบวนการของทักษิณบริบทของทักษิณเป็นเครื่องมือในการไปสู่เป้าหมายของตัวเอง คนที่มีบทบาทสำคัญในสังคมจำนวนหนึ่งก็หันไปรับใช้ทักษิณ เครือข่ายของทักษิณ และเงินของทักษิณ
คนสำคัญๆ จำนวนมากติดกับดัก “ก้าวหน้า” และ “ล้าหลัง” ที่แนวร่วมทักษิณ สร้างขึ้นและพยายามทำให้เห็นว่าพวกทักษิณก้าวหน้า และพวกตรงข้ามทักษิณล้าหลัง ไม่ใช่เรื่องซ้ายกับขวา แต่เป็นฝ่ายที่เอาทักษิณกับไม่เอาทักษิณ
ประเด็นเรื่องมาตรา 112 ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้หลายคนมองข้าม “บริบททักษิณ” เพราะติดกับดักเรื่อง “ก้าวหน้า” กับ “ล้าหลัง” แม้กระทั่งอานันท์ ปันยารชุนก็ติดกับดักนี้
“ก้าวหน้า-ล้าหลัง” กับวาทะการสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ชวนไพร่เผาเมืองแล้วล่อให้คนออกมาตายเพื่อหวังเป็นเครื่องมือล้มรัฐบาลช่วงชิงอำนาจ ได้ผลทั้งในการได้อำนาจรัฐกลับคืนมาแล้วสร้างความเกลียดชังว่ามีอำนาจเหนือรัฐบาลว่าบงการเอาชีวิตประชาชน
วันนี้ไม่มีใครสนใจว่าทักษิณเป็นนักโทษหนีคดี คนทุจริตที่ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ทั้งสื่อ ปัญญาชน และสาธารณชนในทุกชนชั้นต่างพากันยอมรับที่ให้นักโทษหนีคดีนำพาประเทศ และยอมรับว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์เป็นเพียงพิธีกรรมอำพรางในระบอบประชาธิปไตย
หรือเรากำลังจะปล่อยให้บ้านเมืองเปลี่ยนผ่านจาก “ระบอบทักษิณ” ที่มีทักษิณเป็นปฐมไปสู่ “ระบอบชินวัตร” อย่างสมบูรณ์แบบ
และลืมไปว่าระบบสร้างกรอบกติกาขึ้นมาได้ แต่กำหนดจิตใจคนไม่ได้ ดาบที่ดีเล่มหนึ่งถ้าอยู่ในมือโจรก็ไม่ต่างไปจากเครื่องมือของคนชั่ว
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แกนนำเสื้อแดงและเพื่อไทยของทักษิณพยายามที่จะเคลื่อนไหวเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มาจากเผด็จการ ทั้งๆ ที่หากพิจารณาเนื้อหาของรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับแล้วรัฐธรรมนูญ 2550 มีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าในเชิงเนื้อหา เพียงแต่ลดทอนอำนาจนักการเมืองแล้วเพิ่มสิทธิของประชาชนมากขึ้น
เพราะรัฐธรรมนูญแบบ 2540 นั้นเป็นเครื่องมือชั้นดีของกลุ่มทุนที่เข้ามาสู่การเมือง
แต่เรากลับได้ยินกลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าสู้เพื่อประชาธิปไตย และบอกว่าประชาธิปไตยคือเสียงข้างมากของประชาชนเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550 และนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ด้วยข้ออ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มีที่มาจากเผด็จการโดยไม่บอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่มีที่มาจากประชามติของประชาชนทั้งประเทศ และเก็บเอาสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญมาตรา 2540 มาเกือบทั้งหมดยกเว้นที่ลดความเป็น Strong Prime Minister ลงมาเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ง่ายขึ้น และหามาตรการป้องกันไม่ให้องค์กรอิสระถูกครอบงำได้ง่ายขึ้นเหมือนกับในยุคที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ
เวลาได้ฟังเหตุผลของฝ่ายที่ต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วก็ชวนให้นึกถึงนิทานเรื่องหาป่ากับลูกแกะที่แม้ลูกแกะจะไม่ได้ทำให้น้ำขุ่น แต่พ่อแกะทำให้น้ำขุ่น เคยได้ยินกระทั่งว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนขึ้นมาเพื่อจัดการกับทักษิณ (ซึ่งไม่รู้มาตราไหน)
แต่ถ้าพูดว่า รัฐธรรมนูญ 2550 เขียนขึ้นมาเพื่อจัดการกับกลุ่มทุนที่ซื้ออำนาจเข้ามาสู่การเมืองแล้วสร้างอำนาจนิยมไปสู่การแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเอง และทำลายการตรวจสอบในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งนี่คือระบอบทักษิณอย่างที่นักวิชาการบางคนนิยามหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องนับว่านี่คือข้อดีของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ใช่หรือ
ทักษิณหยิบฉวยประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีอย่างมากล้นมาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจถูกทำลาย แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่ปีหลังจากทักษิณหนีคุก นักวิชาการผู้เคยต่อต้านระบอบทักษิณจำนวนหนึ่งกลับกลายเป็นหางเครื่องของทักษิณในการต่อต้านฝ่ายที่ลุกขึ้นมาโค่นล้มทักษิณ เพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารที่โค่นล้มรัฐบาลที่ตัวเองด่าว่าฉ้อฉล
แต่เก็บเอาการที่เคยต่อต้านระบอบทักษิณมาเป็นเครื่องมือในการตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ดูดีว่าตัวเองเคยต่อต้านระบอบทักษิณมาก่อน โดยเฉพาะพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนที่เคยมี นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นหัวโจก
น่าประหลาดว่า ทักษิณซึ่งเป็นตัวแทนที่แจ่มชัดของ “ทุนนิยมสามานย์” กลับเป็นเทพเจ้าของนักวิชาการที่คิดว่าตัวเองมีแนวคิดเสรีประชาธิปไตย เพราะนักวิชาการเหล่านี้มักเข้าใจว่า องค์ประกอบสำคัญที่สุดของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ทั้งที่ในทัศนะของผมแล้วองค์ประกอบของประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดคือการใช้อำนาจหลังการเลือกตั้ง
เพราะเราคงไม่อาจบอกได้ว่า ถ้าเสียงข้างมากบอกให้ไปฆ่าใครแล้วคือความชอบธรรม
เราจึงเห็น “ขบวนการทักษิณ” ที่มีคนรอบตัวทักษิณฝ่ายซ้ายเก่าที่เคยร่วมหัวจมท้ายกับทักษิณสร้างขึ้นถูกทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประชาธิปไตยไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่เมื่อย้อนไปมองระบอบทักษิณแล้วไม่อาจเรียกได้ว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย และถ้ามันคือระบอบประชาธิปไตยก็คงไม่มีใครคิดคำว่าระบอบทักษิณขึ้นมาซ้อนทับ และระบอบทักษิณก็เป็นนัยที่สำคัญของเผด็จการทุนนิยมไม่ใช่หรือ
แล้วทักษิณซึ่งเป็นต้นตำรับตัวจริงของระบอบทักษิณจะมาเป็นผู้นำในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร
นักวิชาการบางคนไม่สนใจ “บริบททักษิณ” ที่มีเป้าหมายเพียงการทวงอำนาจคืนแกล้งทำตัวเป็นหน่อมแน้มอาโนเนะว่า มวลชนที่ห้อมล้อมทักษิณคือนักสู้เพื่อประชาธิปไตย สื่อบางค่ายถึงกับยกเอาแกนนำเสื้อแดงคือวีรบุรุษประชาธิปไตย แม้ว่ามวลชนจำนวนไม่น้อยจะมาด้วยใจที่บริสุทธิ์ แต่การให้ท้ายขบวนการของทักษิณก็เหมือนผลักดันให้มวลชนจำนวนหนึ่งไปตายแล้วหลงเข้าใจว่าตายเพื่อประชาธิปไตยนั่นเอง
ตอนราชประสงค์เราเห็นแกนนำเสื้อแดงซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับสมาชิกพรรคเพื่อไทยของทักษิณมุ่งที่จะเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่มากกว่าเรื่องอื่นในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ และเมื่อเปิดให้มีการเลือกตั้งพวกเขาก็เข้าสู่อำนาจแล้วเข้าไปนั่งแทนอภิสิทธิ์ที่พวกเขาขับไล่
จากนั้นก็เอาเงินภาษีของประชาชนหลังได้อำนาจมาชดเชยให้ประชาชนที่ออกมาตายแทนเพื่อให้พวกเขาได้อำนาจรัฐ ส่วนเรื่องไพร่กับอำมาตย์ก็ลืมไปแล้ว เพราะตอนนี้หัวหน้าไพร่กำลังเป็นอำมาตย์เสียเอง ส่วนไพร่ที่รอดก็กลับไปเป็นประชาชนตาดำๆ เหมือนเดิม
วันนี้แกนนำเสื้อแดงจำนวนหนึ่งอาจจะยังคงสาละวนอยู่กับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยข้ออ้างแบบหมาป่ากับลูกแกะ แต่สำหรับทักษิณแล้วเป้าหมายของเขาอาจมีมากกว่าเพียงว่าทำอย่างไรให้ตัวเองพ้นผิดและได้เงินคืน (เงินอาจจะไม่เท่าไหร่เพราะวันนี้อำนาจอยู่ในมือแล้วเดี๋ยวเงินก็กลับมาเอง) หลังจากเดินเกมพลาดไปแล้ว 2 ครั้ง คือ อภัยโทษ และข้อเสนอล้มล้างผลพวงรัฐประหารเฉพาะ 19 กันยาของนิติราษฎร์
แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเขายังมีอำนาจรัฐอยู่ในมือหรือไม่ แม้พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ทักษิณก็มั่นใจว่าเขามีมวลชนที่ศรัทธาตัวเองมากพอ และยังมีลมหายใจที่ยาวนาน (แม้จะเคยมีข่าวจากเว็บไซต์เครือวอชิงตันโพสต์เป็น 1 ใน 5 ผู้นำที่เป็นตัวอย่างที่เลวเพราะไม่ได้สร้างความแตกต่างที่ดีให้กับโลกแล้วค่อยลดบทบาทหายไป)
สำคัญที่สุดก็คือ วันนี้ไม่เพียงแต่นักวิชาการจำนวนหนึ่งที่หันไปสวามิภักดิ์ทักษิณหรืออย่างน้อยก็ใช้ขบวนการของทักษิณบริบทของทักษิณเป็นเครื่องมือในการไปสู่เป้าหมายของตัวเอง คนที่มีบทบาทสำคัญในสังคมจำนวนหนึ่งก็หันไปรับใช้ทักษิณ เครือข่ายของทักษิณ และเงินของทักษิณ
คนสำคัญๆ จำนวนมากติดกับดัก “ก้าวหน้า” และ “ล้าหลัง” ที่แนวร่วมทักษิณ สร้างขึ้นและพยายามทำให้เห็นว่าพวกทักษิณก้าวหน้า และพวกตรงข้ามทักษิณล้าหลัง ไม่ใช่เรื่องซ้ายกับขวา แต่เป็นฝ่ายที่เอาทักษิณกับไม่เอาทักษิณ
ประเด็นเรื่องมาตรา 112 ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้หลายคนมองข้าม “บริบททักษิณ” เพราะติดกับดักเรื่อง “ก้าวหน้า” กับ “ล้าหลัง” แม้กระทั่งอานันท์ ปันยารชุนก็ติดกับดักนี้
“ก้าวหน้า-ล้าหลัง” กับวาทะการสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ชวนไพร่เผาเมืองแล้วล่อให้คนออกมาตายเพื่อหวังเป็นเครื่องมือล้มรัฐบาลช่วงชิงอำนาจ ได้ผลทั้งในการได้อำนาจรัฐกลับคืนมาแล้วสร้างความเกลียดชังว่ามีอำนาจเหนือรัฐบาลว่าบงการเอาชีวิตประชาชน
วันนี้ไม่มีใครสนใจว่าทักษิณเป็นนักโทษหนีคดี คนทุจริตที่ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย ทั้งสื่อ ปัญญาชน และสาธารณชนในทุกชนชั้นต่างพากันยอมรับที่ให้นักโทษหนีคดีนำพาประเทศ และยอมรับว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์เป็นเพียงพิธีกรรมอำพรางในระบอบประชาธิปไตย
หรือเรากำลังจะปล่อยให้บ้านเมืองเปลี่ยนผ่านจาก “ระบอบทักษิณ” ที่มีทักษิณเป็นปฐมไปสู่ “ระบอบชินวัตร” อย่างสมบูรณ์แบบ