“พัชว่า 5 ไร่เรายังไม่สามารถรีดประสิทธิภาพออกมาได้สมบูรณ์เพราะว่าพอเราปลูกแบบธรรมชาติมาก ๆ มันไม่ได้แปลว่า ทุกต้นจะออกดอกหรือ 1 ต้นจะออกดอกทุกวัน อันนี้มันยากและก็ท้าทายมากมันทำให้บางครั้งพัชเศร้าว่าพัชมีออร์เดอเยอะ แต่ดอกไม้ไม่มี!
มันหมายความว่าเรามีดอกไม้อื่น ๆ นะ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าเราต้องการ มันก็คือเหมือนกับค่าเสียโอกาสแล้ว(เมื่อถามถึงกำลังการผลิตในปัจจุบัน) จริง ๆ ถ้าแม็กซิมัมแบบเต็ม capacity นะเกือบ 200 กล่อง/วัน แต่ถ้าเฉลี่ยตอนนี้ก็จะอยู่วันละประมาณ 80-100 กล่อง ค่ะประมาณนั้น มีทุกวันโดยสวนจะหยุดทุกวันอาทิตย์ ก็ใครอยากได้ดอกไม้ท่านใดสนใจก็สามารถติดต่อเข้ามาได้เราก็การันตีว่าถ้าคละดอกค่ะมีจัดส่งได้ทั้งปี ไม่มีขาดส่งแน่นอน แต่ว่าถ้าเลือกชนิดก็จะเจอปัญหาแบบตอนแรกที่เราเล่ามาเนาะว่าถ้าเลือกชนิดมันอาจจะยากสำหรับพวกเรานิดหนึ่ง แต่ถ้าเราคุยกันยาว ๆ เราสัญญาว่าเราจะทำให้ได้” ภิญญาพัชญ์ ปรีดาบุญ หรือคุณพัช เจ้าของสวนป้าผินดอกไม้กินได้ “Papin-garden” ทำเกษตรกลางเมือง(กรุงเทพฯ) ในย่านจรัญสนิทวงศ์บนที่ดินในอดีตเคยได้ชื่อว่าเป็นสวนทุเรียน(เก่าแก่) เนื้อที่กว่า 5 ไร่ซึ่งถูกทิ้งร้างไว้ผ่านมานานหลายปีมาก ๆ แล้ว วันนี้ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นทั้งสตูดิโอกลางแจ้งด้วยและก็สวนดอกไม้กินได้กับพืชสมุนไพรนานาพันธุ์ “จริง ๆ ชนิดของป้าผินนะคะ “ดอกไม้กินได้” ในฟาร์มเรามีมากกว่า30 สายพันธุ์ ถ้ารวมพวกพืชผักสมุนไพร เราไม่ได้มีแค่ดอกไม้กินได้เรายังมีสมุนไพรต่าง ๆ ด้วยถ้ารวมลิสต์ทั้งหมดก็ อยู่ที่ประมาณ 70 รายการ เราพยายามสรรหาความหลากหลายเพื่อตอบสนองโจทย์ของลูกค้าต่าง ๆ ที่เข้ามา”
จาก “อาชีพช่างภาพ” ถ่ายรูปอาหาร สู่การทำสวน “ดอกไม้กินได้”
ก่อนหน้านี้พัชเป็นช่างภาพอาหารอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารมายาวนานมากกว่าเกือบ 8 ปี แล้วก็วันหนึ่งเราเปิดสตูดิโอ ในระหว่างการนั่งกินข้าวอยู่กับรุ่นพี่และก็เพื่อน ๆ คือต้องบอกว่าตอนนั้นมันเป็นจังหวะที่เราได้ทำ “สตูดิโอ” ตรงนี้เราเข้ามาใช้พื้นที่ ตรงนี้เมื่อก่อนเป็นพื้นที่รกร้างเลยตอนนั้น พอเขามาฉลองเปิดสตูดิโอนั่งกินข้าวกันก็เริ่มคุยกันไปเรื่อย ๆ แล้วพี่เขาก็แบบถามว่าเรามีพื้นที่เยอะเราจะทำอะไรทำยังไงบ้าง? เราก็แบบ เออตอนแรกเราก็มีภาพฝันว่า เราเป็นคนชอบดอกไม้ แล้วเราเป็นช่างภาพเราอยากมีที่เอาไว้ถ่ายพวกโปรดักส์ของเรามีสวนสวย ๆ เขาก็เลยแบบเหมือนคุยกันเล่น ๆ ว่าเอ้ยไม่ลองปลูกดอกไม้กินได้ล่ะ? “จริง ๆ จุดเริ่มต้นคือมาง่าย ๆ แบบนั้นเลย เราก็มานั่งคิดกับตัวเองว่า เออจริง! น่าสนใจเพราะเราก็อยู่กับวงการอาหารมานาน เราเห็นเพนพอยท์ของลูกค้าเนาะที่ เมื่อก่อนดอกไม้จะต้องสั่งมาจากที่ไกล ๆ แล้วก็กว่าจะถึงก็ใช้เวลานาน มีความเน่าเสียบ้าง แล้วเราอยู่ในกรุงเทพฯ ทำไมเราไม่ลองทำดู”มันก็ฟังดูเหมือนจะง่ายเนาะ แต่พอถึงตอนที่จะเริ่มลงมือทำจริง ๆ ตอนที่เราเรียนรู้จริง ๆ ต้องบอกก่อนว่าธุรกิจของเราแบ่งเป็น 2 สเกล ๆ แรกตอนที่มันเป็นแบบ ครัวเรือน ละกันใช้คำว่าแบบทำกันเล็ก ๆ ทำกันเอง(กับแฟนหนุ่ม “คุณเซม-สันติสุข ธิติโรจนกุล) อันนี้ก็ค่อย ๆ ทำเริ่มต้นจากการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก เพราะว่าพัชไม่ได้โตมาจากการเป็นเกษตรกรมาก่อนแล้วก็ทุกอย่างคือ การเรียนรู้ คือประสบการณ์หมดเลย“ก็ค่อย ๆ ทำกันมาด้วย ต้องบอกว่าใช้หัวใจหนักมาก(หัวเราะ) หลายคนจะชอบพูดว่า อุ๊ยดีจังอยู่กับดอกไม้อิจฉามาก ๆ อยู่แต่กับความสวยงาม แต่ว่าเบื้องหลังแล้วค่ะกว่าจะมาเป็นความสวยงามได้”จริง ๆ ก็เป็นธุรกิจที่ต้องใช้ “ทุน” เยอะประมาณหนึ่ง ในการเรียนรู้ ในการลองผิดลองถูก แต่ว่าตอนนั้นเราก็ทำกันมาเรื่อย ๆ และก็ผลตอบรับก็ดีขึ้นเราก็ค่อย ๆ ขยายจนเปลี่ยนสเกล จนกลายมาเป็นอุตสาหกรรม
“ต้องบอกว่าตลาดดอกไม้กินได้ค่ะ มันโตขึ้นทุกปีจริง ๆ นะ แต่! พอดีมานด์เยอะ ซัพพลายก็เยอะ แน่นอนว่าคู่แข่งเราก็โตขึ้นด้วยอ่ะเพิ่มขึ้นด้วยทุกปีเหมือนกัน นอกจากตลาดจะโตมันก็หมายถึงว่า เราก็จะมีเพื่อนร่วมอาชีพเราเยอะขึ้น อันนี้ก็ข้อดีก็คือมันก็ช่วยเหลือกันตรงที่ว่า คนอื่นก็เห็นดอกไม้กินได้เยอะขึ้น เริ่มมีความเข้าใจ เริ่มเปิดใจกับดอกไม้กิน อาจจะเป็นทั้งโอกาสและก็อุปสรรคไปพร้อม ๆ กันขึ้นอยู่กับว่า เราจะมองในแง่มุมไหน”
“ราคา” ดอกไม้กินได้ที่ใคร ๆ ก็อยากรู้ แต่ทว่าก็มี “ความยาก” ในการพิชิต
จากเมื่อก่อนเลยดอกไม้กินได้กล่องนึงเป็นร้อยบาท มีตั้งแต่ 500 (มีตั้งแต่ 100 /200 /300 /400 /500 บาทต่อกล่อง) สูงสุดก็ไปเรื่อย ๆ เลย แต่ว่าปัจจุบันที่เราเห็นน่ะ เราเห็นราคาตลาดมันต่ำลงจนน่าตกใจ มันตรงนี้ก็น่าเป็นห่วง แต่ว่าการที่ถามว่าข้อเสียของการที่เขา เข้ามาลองตลาดเล่น ๆ แต่มันอาจจะทำให้ราคาเสียในระยะยาวแต่ว่าในเรื่องราคาตรงนี้พัชมองว่า มันเป็นเรื่องความเซนซิทีฟและก็เป็นความพึงพอใจส่วนบุคคล ถึงแม้ว่าบางครั้งมันอาจจะเปลี่ยนภาพรวมตลาดไปก็กระทบบ้าง แต่ว่าเราก็พัชพยายามมองอย่างนี้ว่า เราเชื่อมั่นในคุณค่าแล้วก็เชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ และก็ราคาที่เราให้กับลูกค้า“เรารู้สึกว่าราคาที่เราให้เป็นราคาที่สมเหตุสมผล แล้วก็สามารถจับต้องได้ ของพัชจะอยู่ที่กล่องนึงประมาณ 200 บาท กับ 60 ดอก ถ้าเฉลี่ยก็อยู่ประมาณ 2.5-3 บาทค่ะ ซึ่งมันในส่วนนี้พัชมองว่ามันก็เป็นราคาที่ไม่สูงมากหรือไม่ต่ำมากจนเกินไป เพราะว่าต้นทุนเราสูง”ดอกไม้กินได้เป็นสินค้าที่ มีความเสี่ยงสูง นอกจากเขาจะเป็นโปรดักแบบ High Value ของเกษตรแล้วที่ทำราคาได้ดีแต่มันมาพร้อมกับความเสี่ยง“ทำไมถึงมาพร้อมกับความเสี่ยง? จาก 4 ปีที่เราเดินทางมาถึงตรงนี้ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ว่าดอกไม้ทุกดอกที่คุณปลูกแปลว่า จะขายได้! มันเป็นเรื่องของ “เทรนด์” เรื่องของ “แฟชั่น” ด้วย ในส่วนนี้จริง ๆ คือแบบ”เราเคยลองปลูก “พวงชมพู” ปีแรกไม่มีใครรับพวงชมพูเลยค่ะ แต่พอเทรนด์มันเปลี่ยน ฤดูกาล/ซีซั่นเปลี่ยน สีเปลี่ยน ทุกคนหันมาสนใจพวงชมพู อันนี้ก็เป็นแบบ เป็นเรื่องของเทรนด์ตลาดมันแปลว่า ถ้าจะเป็นผู้ประกอบการด้านดอกไม้กินได้คุณอาจจะต้องห้ามหยุดพัฒนาตัวเอง จากเมื่อก่อนตอนที่ดอกไม้กินได้เรามาในรุ่นที่แบบ มันยังไม่ได้แบบการแข่งขันสูง ช่วงนั้นเราแค่อยู่เฉย ๆ เราแค่ขายออนไลน์เราแค่โพสต์ลงก็จะมีคนสนใจแล้ว แต่ว่าช่วงหลังการแข่งขันมันเข้มข้นขึ้นมาก ๆ เราอยู่แบบเดิมไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเราต้องคอยสังเกตสถานการณ์ตลอด ยิ่งทำธุรกิจการดูบัญชีการดูการเปลี่ยนแปลงอันนี้สำคัญมาก คือเราต้องคอยสำรวจสุขภาพธุรกิจตัวเองตลอดเวลามันทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จากเมื่อก่อนเราไม่เคยเข้าหาลูกค้า ตอนนี้กลายเป็นว่าเราจะต้องแอคทีฟมากขึ้น กระตือรือร้นมากขึ้น และทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น
“ถ้าใครอยากได้อะไรก็อยากให้ลองมาคุยกันก่อน ว่าเรามีไหม? เผื่อถ้าเชฟบางท่านอาจจะพยายามสรรหาสิ่งที่หนีจากตลาด
ลองมาคุยกับเราได้ เพราะว่าบางท่านคาแรคเตอร์เขาจะบอกว่าอยากหาอะไรที่ ไม่ซ้ำกับในตลาด หรือหาอะไรที่มันแปลกใหม่ หรือว่าของไทยอะไรอย่างเงี้ยค่ะ”จริง ๆ พอมันเป็นเรื่องเทรนด์ ปีนี้เป็นปีแรกเลยที่ทุกคนตามหา “ดอกไม้ไทย” เยอะมาก ใช่ค่ะ
พัชเลยบอกความยากของดอกไม้กินได้ถ้าเราปลูกเหมือนเดิมทุกปี มันไม่ได้แปลว่าเราจะขายได้ทุกปีเพราะว่าพอ “เทรนด์” มันเปลี่ยนปุ๊บ ทุกอย่างเปลี่ยน“อย่างปีนี้มาเป็นแบบว่า เชื่อไหมคะ “กล้วยไม้” เราเคยปลูกแล้ว ลูกค้าปฏิเสธบอกว่า ไม่เอากล้วยไม้ แต่ปีนี้ทุกคนถามหากล้วยไม้! มันเป็นไปตามเทรนด์จริง ๆ ก็เลยเป็นการบอกว่าเนี่ย มันคืออาชีพที่แบกรับความเสี่ยงค่อนข้างสูง ถ้าเราปรับตัวไม่ทัน เรามีอันนี้แต่เขาไม่ต้องการแล้ว” อันนี้ต้องบอกว่าเป็น Sense ของผู้ประกอบการเลยเพราะว่า ยากมาก ก็เลยบอกว่าจริง ๆ สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นในการทำดอกไม้กินได้มันมีหลายปัจจัยมากที่เราต้องคำนึงถึง อันนี้ก็เลยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นำไปสู่การที่ อย่าทำอะไรตามกระแส ต้องลองคุยกับตัวเองดี ๆ ว่าเราแบกรับความเสี่ยงได้ไหม? มองให้รอบ ๆ มองให้ครบทุกมิติก่อนจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง“ของพัชมันเริ่มต้นมาด้วย มันไม่ใช่เริ่มต้นมาเพราะว่าแค่ความอยากทำนะแต่เรามองเห็น “โอกาส” ในธุรกิจจริง ๆ เพราะพัชเจอเพนพอยท์ของลูกค้าแล้วพัชรู้สึกว่ามันอยู่ในความชอบของเราด้วย ที่เราชอบดอกไม้ แล้วเรารู้ว่าเราจะขายใคร เรารู้ว่าเราจะขายยังไง อันนี้เราถึงกล้าทำ”มันเป็นโอกาสหรือมันเป็นอุปสรรค หรืออีกอย่างหนึ่งที่ต้องคิดดี ๆ คือคำว่า“ขายดีจนเจ๊ง”อันนี้น่ากลัวมาก ถ้าเราไม่ดูต้นทุนเราแบบเราตั้งราคามาไม่เหมาะสมกับสิ่งที่เราทำ มันจะทำให้เราแบบขายดีมาก ยอดขายเยอะมาก แต่พอไปหักลบปลายเดือนแล้ว อ้าวเงินไปไหนหมด!(หัวเราะ) อันนี้น่ากลัว น่ากลัวมาก แล้วพอราคาถ้าเราตั้งราคาไปแล้วการปรับเปลี่ยนราคาก็ยาก! แปลว่าผู้ประกอบการหรือใครที่กำลังตัดสินใจว่าอยากทำ ต้องมองให้รอบด้าน มองให้ครบทุกมิติจริง ๆ ว่าเราจะ handle กับสถานการณ์ยังไง “เพราะว่าเราเจอเยอะเลยค่ะกับเกษตรกร ที่เข้ามาแล้วออกไป เข้ามาแล้วออกไป เพราะว่ามันไม่เกิดความยั่งยืนมันไม่เกิดการควบคุม “ราคา” ตั้งแต่แรก หมายถึงว่าเขาไม่ได้ดู cost”
“การผลิต” ผลิตอย่างไรให้เป็นที่ยอมรับ และเชื่อถือได้จาก “ตลาด”
พยายามหา “โอกาส” ในทุกช่องทางเพราะว่า เราไม่รู้หรอกว่าวันนึงโอกาสตรงนั้นจะพาเราไปสู่อะไร เขาอาจจะรู้จักคนอื่นหรือแนะนำคนอื่น ดังนั้นสิ่งที่พัชให้ความสำคัญก็คือ โอกาส คุณค่า สิ่งที่พัชมอบให้ลูกค้าเราบอกกับน้อง ๆ ในส่วนตั้งแต่ Day1 ที่เราทำเรารู้สึกว่าสินค้าที่เราส่งไป เราไม่ได้ส่งแค่สินค้า เราส่งหัวใจเราไปด้วย“ทำไมเราถึงต้องจัดดอกไม้ จริง ๆ ของพัชจะบอกทุกคนว่าดอกไม้ที่เราส่ง เราจัดเรียงทีละดอกนะ เพราะว่ามันเป็นคัดดอกไม้ด้วยแล้วก็ เนื่องจากมันเป็นสินค้าที่มีมูลค่า เราก็ทำตัวเองให้เหมาะสมกับความมีมูลค่าตรงนั้นด้วยคำว่า ใส่ใจตรงนี้ค่ะ เราพยายามคัดดอกไหนเสียทิ้งไว้ที่สวน เพราะว่าไปถึงลูกค้า ลูกค้าไม่ได้มีสวนลูกค้ามีแค่กล่องดอกไม้เรา เราก็เลยต้องพยายามหาสิ่งที่มันสวยและสมบูรณ์ที่สุด”ที่พัชบอกว่ามันไม่ได้เป็นแค่สินค้าเรารู้สึกว่า การทำงานในครัวเป็นเรื่องหนัก การที่เขาเปิดกล่องดอกไม้เราแล้วเห็นแบบ “ความสดใส” สิ่งที่มันอยู่นอกครัวสิ่งที่มันเป็นธรรมชาติ อันนั้นเราเหมือนกับว่าเราอยากให้กำลังใจเขา แล้วก็อยากเติบโตไปกับเขา เราอยากเป็นมากกว่าคู่ค้า เราอยากเป็นคู่คิด เราอยากเป็นเพื่อนเราอยากโตไปด้วยกัน“เราดีใจที่เวลาเราได้คำชมกลับมา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผู้ปฏิบัติงานหรือลูกค้าเรา ลูกค้าบอกว่าเห็นสินค้าแล้วใจฟู หรือน้อง ๆ ที่ทำงานแล้วบอกว่าพี่เชื่อไหมมันทำให้หนู หายจากโรคซึมเศร้าได้ อันนี้! มันคือแบบความมหัศจรรย์ของดอกไม้” มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า เราให้อะไรกับสังคมได้ พัชเลยอยากทำให้ธุรกิจของพัชมันส่งต่อคุณค่าและก็นำไปสู่ความยั่งยืน แล้วก็เรื่องของ “มาตรฐาน” ก็คือเราเลือกใช้ความปลอดภัยในการปลูกอยู่แล้ว เรื่องเคมีเราไม่แตะยาฆ่าหญ้าเราไม่มี“คือเคมีในที่นี้มันหมายถึงว่าที่มันเป็นอันตรายค่ะ แต่ว่าปุ๋ยเคมีมันอาจจะมีบ้างในช่วงแรก(เป็นธาตุอาหารหลักของพืช) มันก็เป็นเหมือนกับวิตามินเลย มันไม่ได้อันตราย แต่ว่าที่เป็นอันตรายส่วนใหญ่จะเป็นพวกยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า แน่นอนที่สุดเราไม่ได้ใช้พวกนั้นเพราะว่า ที่เราตัดสินใจไม่ใช้ยาฆ่าแมลงคือมันยังสร้างความสมดุลกับระบบนิเวศน์ด้วยนะคะ จะเห็นว่าในสวนเราจะมี “ผึ้ง” เยอะมาก มีเต่าทอง ฯลฯ“ซึ่งส่วนหนึ่งเขาก็ยังช่วยรักษาสมดุลทางระบบนิเวศน์ให้กับเราด้วย ถามว่าเราศัตรูพืชเยอะไหม? โอ้! อันนี้เยอะ ๆ บางทีเยอะจนท้อเลย ต้องบอกว่าเกษตรถ้าไม่มีหัวใจที่เข้มแข็งมันง่ายมากที่เราจะยอมแพ้เพราะว่า เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราอยากยอมแพ้ทุกวันเลย เราอยากเลิกทำแต่ว่า ต้องบอกว่าบางครั้ง “ทุนจม” เยอะมาก เมล็ดที่เราสั่งมาหรือว่าต้นกล้าที่เราสั่งมาทั้งถาดน่ะค่ะ เคยเกือบจะออกดอกแต่ไม่ออกดอก เพราะมันมาด้วย “โรค” หรือแมลงต่าง ๆ มันทำให้เราขาดทุนตรงนั้นเยอะ อันนี้ก็ถ้าใครกำลังคิดอยากให้มองถึงข้อเสียหรือว่าอุปสรรคที่มันจะเกิดขึ้นกับธุรกิจด้วยว่า มันไม่ได้มีแต่คำว่าขายได้ ขายไม่ได้ก็มี หรือผลิตไม่ได้ก็มี อย่าคิดว่าแบบ ดอกไม้ปลูกง่ายหรือว่าซื้อมาก็จบ มันจริง ๆ มันไม่จบมันมีการดูแลการเมนเทนตรงนั้นคือสิ่งที่ยาก เราว่าเริ่มต้นไม่ยากแต่การที่จะรันธุรกิจหรือว่าให้มันเกิดความยั่งยืน ให้มันเมนเทนรักษาตัวเองแล้วโตขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการที่พัชประสบมาตอนนี้เหมือนกับเราผ่านจุดเริ่มต้นมาแล้ว ตอนนี้เราอยู่ตรงกลาง ที่ว่าจะทำยังไงให้มันขึ้นหรือว่าพอเราอยู่มาในตลาดมาสักพักหนึ่ง ยอดมันอาจจะดิ่งลง มันก็อยู่ในกลยุทธ์ที่เราต้องหาต่อไปอย่างที่พัชบอกตอนแรก ว่าเราต้องปรับตัวแล้วคอยสังเกตสุขภาพธุรกิจของตัวเองดี ๆ ว่าตอนนี้กำลังอยู่ในเฟสไหน แล้วจะแก้ไขยังไงให้ทัน
“เราอยากไปให้ถึงมาตรฐาน Organic จริง ๆ ในทุกวันนี้ที่เราคุยกับนักวิชาการของเรา ที่เขามา Audit สวนหรือว่าเราก็มีทำงานร่วมกับ นักวิจัย หรือว่าหน่วยงานต่าง ๆ นะคะก็คือเราก็คุยกันว่าจริง ๆ ทุกวันนี้เราทำ แทบจะเป็นอินทรีย์แล้ว แต่ว่ามาตรฐานของอินทรีย์จะมีในเรื่องของ การเก็บประวัติที่ดิน 2 ปี แต่บริษัทเราเพิ่งเปิดมา 1 ปี มันอาจจะทำให้เรายังไปยังไม่ถึงตรงนั้น(อยู่ในระยะการปรับเปลี่ยน) แล้วก็เรื่องแนวกั้น แนวกั้นมลพิษตรงนี้ที่เราแบบอยู่ใจกลางเมืองแต่ว่าเรายังไม่ได้ทำแนวกั้นอย่างมิดชิด เรามีแค่รั้วอะไรเงี้ยมันก็เลย อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนอีกนิดนึงที่จะไปสู่มาตรฐานของเกษตรอินทรีย์”
โอกาส... ของดอกไม้กินได้
สิ่งหนึ่งที่สำคัญเลยพัชอยากจะบอกทุกคนว่า ห้ามหยุดพัฒนาตัวเอง เพราะว่าถ้าเรายอมแพ้เมื่อไหร่มันแปลว่า เราถูกคนอื่นแซงไปแล้ว แล้วก็แซงไม่เท่าไหร่แต่ว่า “ตัวเรา” จะถอยจริง ๆ เหรอ“คือหลายคนที่มาคุยกับพัชจะมองว่าพัชเป็น Successor แต่ว่าจริง ๆ แล้วเราไม่เคยมองว่าเราประสบความสำเร็จ แต่เราเรียนรู้กับมันไปตลอดเราพยายามปรับตัว เพราะเรารู้สึกว่าการประสบความสำเร็จแต่ละคนมันไม่เท่ากัน แล้วมันเลยทำให้เรา เกษตรกรหลายคนหรือว่าจริง ๆ ของพัชต้องบอกว่า พัชโชคดีมากที่มี“พี่เซม” ที่เป็นแฟนพัชเพราะว่า ถ้าพัชไปลงมือปลูกบอกเลยว่าพัชก็ไม่ไหว ตอนที่มันเปลี่ยนสเกลยังไงก็ทำคนเดียวไม่ได้”
โอกาสของดอกไม้กินได้ ณ วันนี้เป็นอย่างไร?“เมื่อก่อนจะเจอในแบบร้าน Fine Dining แต่เดี๋ยวนี้เราก็เจอในร้านกาแฟแปลว่า คุณค่าที่เขาอยู่มันก็ถูกเปลี่ยน Position มันถูกเปลี่ยน ราคามันก็ถูกเปลี่ยน ทุกอย่างมันถูกเปลี่ยน พัชมองว่าคนเข้าถึงดอกไม้กินได้ง่ายขึ้น ตลาดมันก็เลยโตขึ้น แต่ถามว่ามันจะ มันก็เปลี่ยนแปลงของมันตลอด ก็เลยบอกว่ามันอยู่กับผู้ประกอบการที่เห็นโอกาสที่จะเข้าไปตรงนั้นหรือเปล่า คือการใช้ดอกไม้กินได้มันแพร่หลายเยอะขึ้น เมื่อก่อนที่มันเป็นเฉพาะกลุ่ม ตอนนี้มันก็เกิดความหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ร้านกาแฟ ร้านขนม หรืออย่างเราทำเค้กวันเกิดให้แฟนเราก็อยากได้ดอกไม้ใช่ไหมคะ มันก็เลยเข้าถึงง่ายขึ้นแล้วก็ซัพพลายก็เยอะขึ้น”แล้วก็นอกจาก “ความปลอดภัย” ในการผลิตตรงนั้นก็คือ Papin-garden อยู่ใกรุงเทพฯ อันนี้จริง ๆ จุดแข็งของป้าผินเลยคือ Location เพราะว่าเราบอกแล้วว่าเราหาโอกาสพอเราเจอ เขาเรียกว่าอะไร“มันต้องทำทำ SWOT เหมือนกันนะ จริง ๆ!! ก่อนทำอะไรควรทำ SWOT ว่า จุดแข็ง ของสิ่งที่เราจะทำคืออะไร จุดอ่อนคืออะไร อุปสรรคคืออะไร และก็โอกาส อันนี้พอเราเจอ “จุดแข็ง” ที่แข็งที่สุดของป้าผินคือเราอยู่ในกรุงเทพฯ เราอยู่ใกล้ลูกค้าเราสามารถจัดส่งได้ ส่งด่วน จัดส่งเร็ว สด ทน เพราะเราปลูกตรงนี้ วันนี้เราปลูกเราตัดให้คุณ คุณได้ใช้ลงจานแล้ว แล้วมันทนมากอยู่ได้เป็นอาทิตย์เลย” แต่ถ้าสมมติว่าคุณอยู่ไกล คุณต้องเริ่มคิดแล้วว่า ส่งยังไง รักษายังไง นู่นนี่นั่น ฯลฯ ดังนั้น โลเกชันของพัชรู้สึกว่ามันทำให้เราได้เปรียบคนอื่นมาก ๆ
หลายคนสนใจทำเป็นอาชีพเสริมหรือหลักอยากลาออก “งานประจำ”
ถ้าใครบอกว่าอยากทำเป็นรายได้เสริม พัชแนะนำเลยว่า ลองคำนวณต้นทุนดี ๆ ว่ารายได้เสริมของคุณ ถ้าคุณอยากทำแล้วมันคุ้มค่าจริง ๆ อาจจะต้องดูแบบ ราคาที่มันสมเหตุสมผลแล้วลองราคาที่ยืนระยะได้ เพราะว่ามันเหนื่อยจริง ๆ ถ้าคุณทำแล้วแบบวันหนึ่ง คุณบอกฉันเหนื่อยแทบตายแล้วทำไมฉันได้เท่านี้! ฉันจะยังทำต่อจริง ๆ ไหม?“เพราะว่าแบบ บางคนอาจจะรู้สึกว่าเดี๋ยวไปซื้อดอกไม้มาตัดขาย ซื้อตัดขาย แต่ตรงนี้มันก็เขาอาจจะไม่ได้เหนื่อยในการปลูก ไม่ได้เหนื่อยในการผลิตเนาะ แต่ว่าคุณค่าที่เขามอบให้ลูกค้ามันปลอดภัยจริงไหม หรือว่ามัน พัชมองว่าเป็นเรื่องทัศนคติของผู้ประกอบการแต่ละท่าน”พอตลาดมันโต ร้านหรือคนต้องกินต้องใช้ ความยากของดอกไม้กินได้กับ “ผัก” มันต่างกัน ตรงที่ว่าผักยังไงร้านต้องใช้ทุกวัน ดอกไม้เขาใช้เป็นแค่เทศกาลแต่เขาอาจจะใช้ไม่เยอะ เพราะว่า cost มันแพงอันนี้เราก็เข้าใจ“แต่ว่าเราจะเสนอตัวเข้าไปยังไงอันนี้ก็คือ โอกาส คือร้านเปิดใหม่ทุกวันจริง ๆ นะร้านกาแฟ ทุกคนเปิดร้านกาแฟเปิดร้านอาหาร ร้านเปิดใหม่มันเยอะ มันก็คือโอกาสของเรา แล้วก็ “อุปสรรค” เนาะโอ๋อุปสรรคเยอะมาก! ฟ้า ดิน อากาศ จริง ๆ แปลกมากเรามีโรงเรือนเราคิดว่า เราจะควบคุมผลผลิตได้ แต่ไม่ได้! เพราะว่าพอมันไม่โดนฝนจริง ใช่ มันไม่ช้ำ แต่มันไม่มีแดด “ดอก” ก็ไม่มี มันมาพร้อมกับหลายอย่างมากดอกไม้กินได้นี่ยากยาก” แล้วก็สภาพเศรษฐกิจหนักสุดตัวนี้! ใช่ เพราะว่าผู้ประกอบการรายอื่นเขาก็ต้องคิดถึง cost ของเขาอะไรเขาจะลีนคอสได้ยังไง ดอกไม้กินได้เพิ่มมูลค่าได้จริงไหม? อันนี้ก็เป็นโจทย์นึงที่ผู้ประกอบการหลาย ๆ คนก็ถามกับตัวเองว่า เขาเอาดอกไม้สดที่อยู่ได้แค่ไม่กี่วันมาใช้กับธุรกิจของเขามันจะตอบโจทย์ไหม? อันนี้ก็คือการบ้านที่เราต้องไปทำเองแล้วว่าเราจะเสนอเขายังไง“เห็นใจคนเกษียณหรือเห็นใจคนที่แบบว่า อยากลาออกจากงานประจำไปทำอะไรสักอย่างอันนี้เห็นใจมาก ก็เลย เยอะมากแล้วแบบพอเราอยู่ในกลุ่มเราจะเห็นว่าแบบ ผมลาออกมาทำเกษตรแล้วไปไม่รอดอยากกลับสู่งานประจำ (เพราะงานประจำตอนนี้คือทุกคนถูกกดดันอย่างหนักมาก ๆ) แต่อยากจะบอกว่า เป็นเจ้าของธุรกิจกดดันยิ่งกว่า! อันนี้เป็นอะไรที่ ถ้าเราเป็นลูกน้องเราจะไม่มีวันเข้าใจค่ะ แต่ว่าถ้าเราเป็นทั้งลูกน้องเป็นทั้งเจ้าของธุรกิจเราจะเห็นภาพรวมมากขึ้น จริง ๆ ยอมรับว่ามีหลายช่วงที่พัชอยากลาออกกลับไปเป็นพนักงานประจำเหมือนกัน แต่ว่าไม่! ฉันจะสู้(หัวเราะ) มันมีความย้อนแย้งคืออยากยอมแพ้ แต่ใจก็ยอมแพ้ไม่ได้เพราะว่ากำลังใจเรามันเยอะเกิน เราก็เลยแบบ ถามว่าท้อไหม? ท้อมากแต่เราก็ต้องสู้ต่อไป เพราะว่าเราอยากรู้ว่า “ความชอบ” มันกลับไปสู่ประโยคแรกที่เราทำไปทำไม? เพราะว่าเราอยากรู้ความชอบของเรามันจะโตได้ขนาดไหน ถ้าเรายอมแพ้วันนั้นแปลว่า เราจะยอมรับกับผลลัพธ์แค่นี้จริง ๆ เหรอ เออแต่พัชรู้สึกว่ามันไปได้อีก! เหนื่อยแต่เอาหน่อยอย่าเพิ่งยอมแพ้”
ดังนั้นการมีหัวใจที่เข้มแข็งสำหรับผู้ประกอบการสำคัญมาก นอกจากคุณจะต้องเป็น “เป็ด” ที่ทำเป็นทุกอย่างแล้ว คุณยังต้องมีหัวใจที่เข้มแข็ง
บทพิสูจน์ที่วัดใจสุด ๆ! และก้าวต่อไปของ “Papin-garden”
คุณพัช-ภิญญาพัชญ์ ปรีดาบุญ เจ้าของสวนดอกไม้กินได้ “Papin-garden” ยังบอกด้วย จริง ๆ รายได้หลักเราเมื่อก่อนคือ “ช่างภาพ” ซึ่งรายได้ดีมาก ถ้ามาเปรียบเทียบสองอันนี้ ต้องถามว่าเราเปรียบเทียบกับอะไร ถ้าเราเปรียบเทียบจากอาชีพอื่นแน่นอนว่าถ้าไม่ใช่ “ความชอบ” พัชตัดเกษตรออกเลย เพราะว่าเกษตรไม่เคยอยู่ในเช็คลิสต์ความฝัน“อยากรู้ แล้วโอกาสเป็นสิ่งสำคัญ พอจุดเปลี่ยนเราวันนั้น “เขา”(คุณเซม) ก็ถามเรา เอาจริงเหรอเธอ เดือนนึงเป็นช่างภาพเงินเป็นแสน กับมาจับเงินหมื่น เธอเลือกอย่างนี้จริง ๆ เหรอ”ตอนนั้นพัชก็ไม่รู้ว่าเออ เราถอนหญ้าอยู่แล้วเรามีความสุขมากกับการอยู่แบบเนี่ย ได้ยินเสียงนกเสียงลมพัด เรารู้สึกว่าเออมันมีความสุขจัง แล้วมันจะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถทำอันนี้ให้มันเป็นอาชีพได้จริง ๆ เราส่งต่อ ส่งต่อให้คนอื่นได้ หรือว่ามันเกิดผลลัพธ์ที่แบบแปลกใหม่ขึ้นมา เออ มันก็เลยเป็นทางเลือกให้เราอยากมาด้านนี้“แล้วก็ที่เปลี่ยนเป็น “บริษัท” เพราะว่าเราอยากเติบโตขึ้น เราอยากหาโอกาสใหม่ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการจดเป็นบริษัทขึ้นมา” จดบริษัทถามว่ามันโตขึ้นไหม? โตขึ้น แต่ว่าค่าใช้จ่ายก็โตขึ้นตาม จริง ๆ อย่างที่บอกไปว่า มันก็กลับไปตอบคำถามแรกว่าสุดท้ายปลายทางเราอยากโตขึ้นอยากเป็น “สวนดอกไม้ชั้นนำ” แล้วเราต้องทำยังไงให้ไปถึงเป้าหมายของเราล่ะ? มันก็เลยค่อย ๆ ตอบโจทย์ไปเรื่อย ๆ ว่าทุกวันนี้ที่เราพัฒนาเพราะว่า เราอยากไปให้ถึงเป้าหมายคำว่า “ชั้นนำ” คือแปลว่าเราต้องนำในทุก ๆ มิติ เราก็เลยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ไปถึงความเป็นชั้นนำตรงนั้น“คำว่าครบ(มีครบทุกชนิดของดอกไม้กินได้) มันไม่มีอยู่จริง เพราะว่าเทรนด์เปลี่ยนอย่างที่บอกพอมันเป็นกระแส เทรนด์เปลี่ยน เทรนด์เปลี่ยนทุกปีมันแปลว่า เราไม่มีทางมีครบ มันอยู่ที่ว่าเราตัดสินใจที่จะปลูกอะไร ขายใคร ขายใครในที่นี้มันเป็นโจทย์สำคัญเพราะว่า ถ้าเราอยากขาย “เชฟ” เชฟเปลี่ยนตามเทรนด์ ทุก 3 เดือน 6 เดือน เขาเปลี่ยนดอกไม้อยู่แล้ว” แต่ก็เลยบอกว่าดอกไม้ครบมันไม่มีหรอก มันอยู่ที่เรา ว่าเราจะปลูกอะไรมากกว่า แต่ว่าไอ้คำว่า “ชั้นนำ” ของพัชมันหมายถึงว่า เรามีมาตรฐานในการผลิต เราเป็น คำว่าชั้นนำของพัชมันเหมือน Top of mind คือเราอยากเป็นแค่ อยู่ในใจคน ที่พอบอกว่าดอกไม้กินได้ มันก็เลยนำไปสู่คำว่าดอกไม้กินได้อยากให้นึกถึงเรา อันนี้แค่เขานึกถึงเรา เรารู้สึกว่าเราได้เป็นชั้นนำในใจเขาแล้ว อยากได้ “ การครองใจตลาด” คำว่าชั้นนำของพัชคือการครองใจตลาด หรือว่าส่วนแบ่งทางการตลาดค่อนข้างสูง
ความเป็นจริงที่อยากบอกให้รู้ บทพิสูจน์ 4 ปี “สวนป้าผินดอกไม้กินได้” นับดอกขาย & รายได้หลักล้าน ?!!! เข้าไปคุยพร้อมกับอยากจะรู้ในหลาย ๆ เรื่องมากเกี่ยวกับ “ดอกไม้กินได้” เพราะเห็นหลายคนมีความสนใจอยากจะลองทำเป็นอาชีพ บางคนพอมีที่มีทางอยู่บ้าง ประจวบเหมาะกับทางเจ้าของสวนดอกไม้กินได้แห่งนี้ก็มีหลาย ๆ เรื่องที่อยากจะบอกให้รู้อยู่พอดี จากประสบการณ์ตรงกว่า4 ปีซึ่งเรียกว่าค่อนข้างเห็นมาครบเกือบจะหมดแล้วสำหรับอาชีพนี้ที่คุยกันอย่างไม่มีกั๊กจริง ๆ เชื่อว่าน่าจะเป็นข้อมูลให้กับคนที่กำลังสนใจอยู่ไม่มากก็น้อย ขอบคุณ “คุณพัช-คุณเซม” เจ้าของสวนป้าผินดอกไม้กินได้ “Papin-garden” ที่กรุณาร่วมแชร์เรื่องราวพร้อมเปิดโอกาสให้ได้เข้าไปรู้จักกับการผลิตในครั้งนี้
สามารถติดตามสวนหรือสนใจสั่งซื้อดอกไม้กินได้นำไปใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเมนูต่าง ๆ ของที่ร้านสามารถติดต่อไปได้ที่ เพจ: Papin-garden/ดอกไม้กินได้ หรือ โทร.091-697-9905
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด