ปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศ มีประมาณ 4.68 ล้านครัวเรือน โดยในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่ปลูกข้าวแบบตามมีตามเกิด ถึงเวลาปลูก ก็ปลูก ไม่ได้วางแผนการเพาะปลูก หรือมีการคัดเลือกพันธุ์ข้าวตามที่ตลาดต้องการ ทำให้มีปัญหาผลผลิตต่อไร่ต่ำ และมีปัญหาด้านราคาเกิดขึ้นทุกปี เป็นภาระทั้งต่อตัวเกษตรกรเอง ที่ปลูกข้าวแล้วขายข้าวได้ไม่คุ้มต้นทุน และเป็นภาระต่อภาครัฐ ที่ต้องอัดฉีดงบประมาณดูแลเรื่องข้าวในแต่ละปี ตั้งแต่หลักหลาย ๆ หมื่นล้านไปจนถึงหลักแสนล้าน
ย้อนไปในช่วง 2 ปีหลังที่ผ่านมา โดยปี 2567 รัฐบาลได้จ่ายเงินดูแลข้าวนาปี 2567/68 ไปแล้วประมาณ 9 หมื่นล้านบาท เป็นเงินที่จ่ายให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ในส่วนของไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ จำนวน 3.85 หมื่นล้านบาท และเงินจัดทำมาตรการดูแลข้าวนาปีอีก 5 หมื่นล้านบาท จากนั้น พอต้นปี 2568 เป็นฤดูการผลิตข้าวนาปรัง 2568 เกษตรกรได้เรียกร้องให้รัฐบาลดูแลราคาข้าวที่ตกต่ำ จนคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้มีมติเมื่อเดือน มี.ค.2568 จ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง
แต่การจ่ายเงินได้ประสบปัญหาความล่าช้า เพราะต้องทำการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังให้ได้ข้อยุติก่อน โดยกำหนดสิ้นสุดการแจ้งขึ้นทะเบียนวันที่ 30 เม.ย.2568 พอขึ้นทะเบียนได้ครบ ก็นำเรื่องเสนอให้ นบข. พิจารณา แต่ปรากฏว่า มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนสูงถึง 8.5 แสนครัวเรือน ทำให้วงเงินเดิมที่เตรียมไว้ไม่เพียงพอ นบข. จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลับไปพิจารณาจำนวนเกษตรกรให้ชัดเจน และให้นำเสนอ นบข. พิจารณาใหม่ จนการประชุม นบข.เดือน มิ.ย.2568 ได้มีมติอนุมัติเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง 8.5 แสนครัวเรือน วงเงิน 7.2 พันล้านบาท พร้อมให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปจัดทำรายละเอียด ก่อนเสนอ นบข.พิจารณาอีกครั้ง และยังอนุมัติมาตรการดูแลข้าวนาปี 2568/68 อีก 5 หมื่นล้านบาท
ต่อมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ยืนยันเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนจำนวน 8.5 ครัวเรือน และเสนอให้ นบข. พิจารณาในวันที่ 13 ส.ค.2568 และ นบข. ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ ให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด รวมไปถึงข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 ก็ได้ด้วย และมอบให้กรมการข้าวและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาโดยเร็วที่สุดต่อไป
สรุปแค่ย้อนหลังไปแค่ 2 ปี พบว่า รัฐบาลมีการใช้เงินเรื่องข้าวเป็นจำนวนมาก โดยข้าวนาปี 2567/68 มีการใช้เงินดูแลเกือบ 9 หมื่นล้านบาท และนาปรัง 2568 กับนาปี 2568/68 อีกเกือบ 9 หมื่นล้านบาท
ตลาดส่งออกมีปัญหา
ทางด้านตลาดส่งออกในปี 2568 ก็มีปัญหา โดยยอดส่งออกช่วงครึ่งปี 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 3.73 ล้านตัน ลดลง 27.29% มูลค่า 75,563 ล้านบาท ลดลง 36.45% เพราะผลผลิตข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเหมาะแก่การเพาะปลูก โดยผลผลิตคาดว่าจะมีปริมาณ 541 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อน 17 ล้านตัน และอินเดียยังกลับมาส่งออกข้าว และมีผลผลิตข้าวในประเทศจำนวนมากถึง 150 ล้านตัน มีสต๊อกสูงถึง 60 ล้านตัน จึงมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคาส่งออก เมื่อเทียบกับประเทศผู้ส่งออกอื่น อีกทั้งตลาดสำคัญอย่างอินโดนีเซีย ที่เคยเป็นตลาดส่งออกหลัก มีการนำเข้าลดลง
ส่วนแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ยังประเมินว่า จะถูกกดดันจากสต็อกข้าวอินเดียที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ การระงับการนำเข้าข้าว 2 เดือนของฟิลิปปินส์ และการชะลอนำเข้าข้าวไปจนถึงปี 2569 ของอินโดนีเซีย ที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบวกช่วยหนุนราคาข้าว เช่น ผลผลิตข้าวในเวียดนามและฟิลิปปินส์ได้ผลกระทบจากพายุวิภา เวียดนามประกาศเริ่มเก็บ VAT 5% กับสินค้าข้าวเพื่อการส่งออกตั้งแต่ 1 ก.ค.2568 ซึ่งนโยบายเหล่านี้จะมีผลต่อราคาข้าวตลาดโลกในระยะข้างหน้า
ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศยังมีความมั่นใจว่า การส่งออกข้าวไทยในปี 2568 จะทำได้ 7.5 ล้านตัน ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ โดยมีมาตรการผลักดันการส่งออก ทั้งการจัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปขยายตลาดข้าว ที่ฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น การประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ ที่นิวยอร์ก สหรัฐฯ ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ที่หนานหนิง จีน ที่โคโลญ เยอรมนี
ราคาในประเทศตกลงต่อเนื่อง
ขณะที่ราคาข้าวเปลือกในประเทศ นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย บอกว่า ชาวนากำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากข้าวเปลือกตกต่ำ โดยล่าสุดข้าวเปลือกความชื้น 25% ในภาคกลางหลายแห่งเหลือเพียงตันละ 5,300-5,800 บาท และมีแนวโน้มลดต่ออีก จนเกรงว่าอาจต่ำกว่าตันละ 5,000 บาทในไม่ช้า เนื่องจากปีนี้ข้าวนาปรังออกมาเยอะ และการส่งออกก็ลดลงจนกระทบชาวนา จึงเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งหาทางช่วยดูแลด่วน เพราะปีก่อนราคาเคยสูงถึงตันละ 10,000 บาท แต่มาตอนนี้ชาวนาอยู่ไม่ได้ เพราะขายได้ต่ำกว่าต้นทุนที่ 6,000 บาท
“ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นรัฐบาลไหน ดูแลเกษตรกรได้แย่ขนาดนี้ ชาวนาวันนี้แทบจะยืนด้วยตัวเองไม่ได้ ภาระไล่หลังชาวนามาเรื่อย ๆ ทั้งหนี้ของ ธ.ก.ส. และยังต้องเตรียมเงินลงทุนปลูกข้าวนาปี แถมค่าปุ๋ยก็แพงขึ้นกระสอบละ 100-200 บาทอีก แต่รัฐยังไม่ทำอะไร ถ้าปล่อยไปแบบนี้ชาวนาอยู่ไม่ได้ รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้ด้วย ขอให้รัฐบาลช่วยดูแลราคาข้าวเปลือกให้ดีกว่าปัจจุบัน อย่าให้ต่ำกว่าตันละ 8,000 บาท รวมถึงให้ช่วยหาเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดี ไม่ต่ำกว่าไร่ละ 1,200-1,300 กิโลกรัม (กก.) การจัดหาแหล่งน้ำ และดูแลต้นทุนการเพาะปลูกให้”
สำหรับราคาข้าวเปลือกล่าสุด 8 ส.ค.2568 จากเว็บไซต์สมาคมโรงสีข้าวไทย แจ้งว่า ข้าวเปลือกเจ้าในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง ความชื้น 15% ลดลงเหลือตันละ 6,100-7,100 บาท ความชื้น 25% อยู่ที่ 5,100-5,900 บาท ยกเว้น จ.ฉะเชิงเทรา ที่ราคาลดต่ำสุดไปอยู่ที่ตันละ 4,900 บาท
ส่งออกไม่ดี-ขอดูแลค่าบาท
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายมาก เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดโลกสูง ขณะที่ความต้องการลดลง เช่น อินโดนีเซียที่เคยนำเข้า 4 ล้านตันในปีก่อน คาดว่าอาจซื้อเพียงเล็กน้อยช่วงปลายปี และราคาข้าวก็ลดลงเหลือ กก.ละ 10.50 บาท จากเดิม 19–20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลกระทบโดยตรง ที่สำคัญคู่แข่งของไทยพัฒนาเรื่องพันธุ์ข้าวได้ดีขึ้น ทำให้ความแตกต่างด้านคุณภาพลดลง หากราคาข้าวไทยแพงกว่าก็มีแนวโน้มที่จะขายไม่ได้
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และอยู่ในระดับ 33–34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และเร่งเปิดตลาดข้าวซาอุดิอาระเบีย ซึ่งใช้ข้าวแข็งในการเลี้ยงแรงงานในแคมป์ และขอให้ผลักดันโควตาการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น รวมถึงผลักดันการส่งออกข้าวไปอิรัก
ระยะสั้นลดต้นทุน-เร่งส่งออก
สำหรับการแก้ไขปัญหาด้านต้นทุนให้กับเกษตรกร นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน จัดทำโครงการธงเขียว เพื่อลดราคาปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช และปัจจัยการเกษตรอื่น ๆ ให้กับเกษตรกร
สำหรับโครงการธงเขียว ริเริ่มขึ้นจากข้อเสนอของพี่น้องเกษตรกร เพราะที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้ดำเนินโครงการธงฟ้า เพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพในราคาประหยัดอยู่แล้ว จึงขอให้มีการจัดโครงการช่วยเหลือสินค้าเกษตรโดยเฉพาะด้วย เพื่อลดต้นทุนสำหรับสินค้าเกษตร จึงเป็นที่มาของการจัดทำโครงการธงเขียว เพื่อจำหน่ายปุ๋ยถูก ยาดีให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ
ทั้งนี้ โครงการธงเขียว ได้คิกออฟเปิดตัวไปแล้ว เมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค.2568 ที่ผ่านมา โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ได้แก่ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย ผู้ผลิตปุ๋ยเคมี เคมีเกษตร จำหน่ายปุ๋ยเคมีลดราคาพิเศษ อาทิ สูตร 46-0-0 , 16-20-0 , 15-15-15 , 16-16-16 , 16-8-8 และ 18-8-8 เป็นต้น รวมถึงยาฆ่าแมลง และปัจจัยการเกษตรอื่น ๆ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า โครงการนี้ กระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะหากเกษตรกรมีต้นทุนผลผลิตลดลง จะทำให้เกษตรกรได้กำไรมากขึ้น โดยหลังจากนี้ จะนำธงเขียวไปจำหน่ายทุกที่ในพื้นที่ ๆ มีการทำการเกษตร รวมถึงปศุสัตว์ และต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการ โรงงานผลิตปุ๋ยทุกภาคส่วน ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินโครงการนี้อย่างเต็มที่ และนี่คือส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงความร่วมมือกันในการช่วยเหลือภาคการเกษตรของไทย
กลาง-ยาวผุดแซนด์บ็อกซ์ช่วย
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในระยะกลางและยาว กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำแซนด์บ็อกซ์ เพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสม จะเน้นใน 3 พื้นที่ คือ พื้นที่ท่วม พื้นที่แล้ง และพื้นที่ทั้งท่วมและแล้ง ซึ่งเบื้องต้นจากการสำรวจพบว่ามีประมาณ 10 ล้านไร่ โดยจะนำร่องในบางพื้นที่ก่อน แล้วคัดเลือกสินค้าที่เหมาะสมไปปลูกในพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งสินค้าที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูก ต้องเป็นสินค้าที่มีอนาคต เป็นโปรดักส์แชมป์เปี้ยนในอีก 5 ปีข้างหน้า
“ตอนนี้ กรมการค้าภายในได้คุยกับกรมส่งเสริมการเกษตรแล้ว เพื่อคัดเลือกฟื้นที่ แล้วจะไปคุยกับเกษตรกร ไม่ต้องปลูกข้าวได้มั้ย โดยสนับสนุนให้ปลุกพืชชนิดอื่นทดแทน และพืชนั้น ๆ ต้องเป็นสินค้ามีอนาคต เป็นสินค้าที่ตลาดต้องการ เป็นการเอาตลาดนำการผลิต ไม่ใช่ผลิตแล้วเอาไปขาย ต้องผลิตออกมาแล้วตลาดต้องการ ทั้งหมดนี้ พาณิชย์และเกษตรได้คุยกันในเบื้องต้นแล้ว เดี๋ยวผมจะเรียกมาคุยเพื่อหาข้อสรุปอีกที”
ทั้งนี้ การดำเนินการจัดทำแซนด์บ็อกซ์ดังกล่าว เป็นการเอาแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) มาทำงานร่วมกับแผนการตลาดของพาณิชย์ (Commerce Map) บวกกับแผนสิ่งแวดล้อม (Environment Map) ที่ดูว่าพื้นที่ไหนเหมาะสม ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าว แล้วมาประเมินร่วมกันทั้งหมดว่าพื้นที่นั้น เหมาะสมที่จะปลูกพืชอะไร แต่ไม่ใช่ว่าจะไปบังคับให้เลิกปลูกข้าว แต่ถ้าพื้นที่นั้น ไม่เหมาะปลูกข้าว ก็จะทำให้เห็นว่า ถ้าปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น จะมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าปลูกข้าวอย่างไร ทำเป็นตัวอย่างให้เกษตรกรเห็น เพื่อเป็นแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยน
ส่วนพื้นที่ ๆ เหมาะสมกับการปลูกข้าว ก็จะสนับสนุนให้มีการเพาะปลูกข้าวต่อไป แต่จะเน้นการส่งเสริมให้ปลูกข้าวพรีเมียม ข้าวที่ตลาดต้องการ ซึ่งขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ตลาดต้องการ และจะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต่อไป
มั่นใจส่งออกปีนี้เข้าเป้า 7.5 ล้านตัน
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังร่วมมือกันในการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ตลาดต้องการ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะปลูก ซึ่งเป็นแผนระยะกลางและยาว แต่ในระยะสั้น กรมการค้าต่างประเทศได้เร่งหาตลาดส่งออก เพื่อผลักดันให้การส่งออกข้าวไทยในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7.5 ล้านตัน ส่วนปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า มองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รู้อยู่แล้วว่าอัตราแลกเปลี่ยนขนาดไหนที่เหมาะสมกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับการส่งออกของประเทศ
จากมาตรการ ทั้งการลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ผ่านโครงการธงเขียว ที่ลดราคาปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช และปัจจัยการเกษตรอื่น ๆ และมาตรการแซนด์บ็อกซ์ที่จะปรับเปลี่ยนให้เกษตรกร หันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่สร้างรายได้ดีกว่าการปลูกข้าว รวมไปถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวที่ตลาดต้องการ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น และภาครัฐ ไม่ต้องเสียงบประมาณเป็นจำนวนมากในแต่ละปี เพื่อนำมาใช้ในการดูแลสินค้าข้าว ส่วนจะเป็นจริงได้แค่ไหน เมื่อไร ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม