xs
xsm
sm
md
lg

(ชมคลิป) “งานป้าย” ธุรกิจที่ไม่มีวันตายปรับตัวจนข้ามผ่านสงครามราคามาได้ถึงวันนี้ กว่า 17 ปีร้านอ้อป้ายอิงค์เจ็ท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อ้อว่าธุรกิจงานป้ายมันไม่มีวันตาย มันไปได้เรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าเราจะปรับตัวรับกับสภาพมันแค่ไหน เป็นสื่อโฆษณาที่จำเป็นถึงว่าตอนนี้จะบอกว่างานโฆษณาส่วนมากจะไปอยู่ในแพลตฟอร์มโน่นนี่นั่นกันส่วนใหญ่ แต่ร้านค้าที่มีหน้าร้านแบบนี้ยังไงมันก็ต้องมีป้าย”


ลลิดา สาริกา หรือคุณอ้อ เจ้าของร้านอ้อป้ายอิงค์เจ็ท เล่าให้ฟังว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีที่แล้วทั้งสองคนคือตนเองกับสามี (คุณสมพัฒน์ สาริกา) เคยทำงานประจำมาก่อนและอาศัยช่วงเวลาว่างหรือวันหยุดรับงาน job เป็นอาชีพเสริม ด้วยการทำ “นามบัตร” ซึ่งในสมัยนั้นกำลังเฟื่องฟูมาก ๆ โดยเฉพาะร้านขายโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในห้างฯ ทั่วเขตกรุงเทพฯ ล้วนแล้วแต่เคยเป็นลูกค้าสั่งทำนามบัตรกันมา ทำเองส่งเองช่วยกันโดยจะมีมอเตอร์ไซค์ขับตระเวนไปส่งนามบัตรตามเส้นทางที่นัดไว้กับลูกค้า เพราะช่วงเวลานั้นถ้าส่งให้ทางไปรษณีย์จะเสียค่าบริการในเรทที่แพงมากหากเทียบกับในยุคนี้ ก็เลยเลือกที่จะขับไปส่งให้เองแทนดีกว่าวันหนึ่ง ๆ ก็วิ่งส่งอยู่10-20 ที่ จนกระทั่งทำไปทำมาเริ่มรู้สึกว่ามีรายได้เติบโตขึ้นไม่น้อยหน้าไปกว่างานเงินเดือนทั้งสองคนที่ทำอยู่แล้ว การตัดสินใจลาออกมาเริ่มทำธุรกิจเองอย่างจริงจังหลังจากนั้น จากงานนามบัตรงานตัดสติกเกอร์ด้วยควบคู่ทำกันเองอยู่ที่บ้านก็เริ่มเกิดแนวคิดกันว่าอยากจะมีเป็นร้านรับถ่ายเอกสารเล็ก ๆ ด้วยในหมู่บ้าน“อยากจะมีร้านถ่ายเอกสารเล็ก ๆ คือเราทำงานอยู่ในบ้านอยู่แล้วค่าไฟเราก็ต้องเสียอยู่แล้ว ไปหาร้านถ่ายเอกสารเล็ก ๆ ดีไหม แล้วก็วันที่คุยกันก็วิ่งรถออกมาหน้าหมู่บ้านก็ไปเจออาคารเล็ก ๆ เป็นเหมือนตึกเล็ก ๆ ให้เช่า เราก็เช่าร้านนั้นเป็นร้านแรก ก็อยู่มาได้ประมาณปีนึงแล้วก็เห็นว่าตึกตรงนี้ให้เช่าพอดี เราก็เลยย้ายจากบ้านเดิมเพื่อมาอยู่ที่นี่แทนจากนั้นก็ค่อย ๆ ทำมาเรื่อย ๆ และจนมาถึงช่วงปี 2554 ที่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่นี่ก็ประกาศขายพอดี เราก็เลยมาซื้อที่นี่ดีกว่า”ค่อนข้างที่จะขยับขยายเหมือนค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เพราะว่าเรามองว่าเราไม่อยากซื้ออะไรที่เป็นเงินผ่อน เราก็ใช้เงินทั้งชีวิตที่เราเก็บมาซื้อ “เครื่องอิงค์เจ็ท” เครื่องแรกตอนนั้นประมาณ 6 แสนกว่าบาท เท่ากับราคาบ้านเราเลย! ครั้งนั้นก็คือเป็นการลงทุนครั้งแรกและก็เทหมดหน้าตักเลย ก็ได้เครื่องอิงค์เจ็ทขึ้นมา1 เครื่องจากนั้นก็ค่อย ๆ ทำมาช่วยกันสองคน ค่อย ๆ ผลิตค่อย ๆ ทำและก็ค่อย ๆ เก็บ เราก็ค่อย ๆ ขยับขยายเริ่มจากงานป้ายไวนีลก่อน แล้วก็คนก็เริ่มรู้จักเราเข้ามาเรื่อย ๆ


ต่อยอดสู่ “งานป้าย” พร้อมแนะนำจริงใจจนลูกค้าติด
คอนเซ็ปต์ของร้านเรา เราจะแนะนำเขาเหมือนเพื่อนเหมือนคนรู้จัก อันนี้เป็นคอนเซ็ปต์ที่ร้านทำมาตลอด“ลูกค้าต้องการอะไรเราจะพยายามแก้ปัญหาให้ลูกค้าทำให้ลูกค้า ซึ่งสมัยก่อนอ้อจะเป็นคนรับงานเองลูกค้าก็จะค่อนข้างติดร้าน เพราะว่ามีอะไรเราก็จะให้คำแนะนำ มีอะไรปรึกษามาเราก็จะบอก บอกตามความเป็นจริงว่าได้หรือไม่ได้อย่างเงี้ย บางทีลูกค้าอยากจะได้แบบนี้เราก็แนะนำว่ามันไม่ได้นะ แบบนี้มัน “สี” มันไม่ได้ โทนมันไม่ได้ หรือว่าพี่อยากได้ป้ายเล็ก ๆ ประหยัดงบแต่ว่าที่จริงแล้วพื้นที่ ที่พี่จะติดมันใหญ่มากเราก็จะแนะนำเขา ซึ่งบางทีลูกค้าก็จะไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย” อ้อมองว่ามันเป็นจุดเด่นของร้าน คือบางทีก็บอก พี่ถ้าพี่จะเอาแบบนี้ร้านหนูไม่ทำนะ! (หัวเราะ) ก็มีบอกพี่ พี่เอาแบบนี้หนูไม่ทำนะ เพราะทำออกไปแล้วมันไม่สวย“เพราะว่ามันไม่สวยแล้วเราไม่แฮปปี้ทุกครั้ง ที่ลูกค้ารับงานไปแล้วทำไมเป็นอย่างนี้อะไรอย่างเงี้ย แล้วคอนเซ็ปต์ของร้านเราคือลูกค้าไม่พอใจเราเปลี่ยนให้เลยนะ ทั้ง ๆ ที่บางทีมันไม่ใช่ความผิดของเราด้วยนะ บางทีลูกค้าเป็นคนบอกจะเอาแบบนี้จะอย่างงี้ งี้ ๆ แต่ว่า พอเขาเห็นงานมาแล้วมันไม่สวย อ้อก็บอกเอ๊อเดี๋ยวอ้อทำให้ใหม่ เรายอมแก้ให้เพราะว่าเราก็ไม่แฮปปี้ หรือบางทีบางเคสลูกค้าทำข้อความผิดมา ทำผิดมาแล้วแบบก็ให้เขาตรวจแล้วเขาก็ตรวจแล้วนะ แต่คือมันผิดไงเพิ่งมาเห็นตอนหลัง อ้อก็แก้นะบางทีลูกน้องเขาบอกว่าพี่อ้อเขาผิดนะทำไมพี่แก้ให้เขา อ้อก็ถามลูกน้องว่าถ้าเราชนะ เราจะได้อะไร ครั้งนี้โอเคเราก็ได้ค่าจ้างมา ได้เงินมา แล้วครั้งต่อไปล่ะ? เขาจะมาร้านเราไหม เราชนะแต่เราก็เสียลูกค้า อ้อไม่เอา”




ถ้ายุคนั้นจริง ๆ ที่เริ่มต้นจริง ๆ ลูกค้ากลุ่มหลักของร้านก็คือจะเป็น แม่ค้าทั่วไป เพราะว่าเราเปิดร้านอยู่ในหมู่บ้านฯ คนจะยังไม่ค่อยรู้จักมาก ยุคนั้นมันยังไม่มีอินเตอร์เน็ตไม่มีโซเชียลฯ เหมือนกับในตอนนี้ ส่วนมากจะใช้การบอกต่อ แล้วต่อมาพอเริ่มมี ๆ กัน เราก็เริ่มสร้างฐานลูกค้าที่จะเริ่มเป็นบริษัทมากขึ้น เป็นผู้รับเหมามากขึ้น“ตอนนี้เราก็เริ่มมางานป้ายไฟมากขึ้น 3-4 ปีมาแล้ว ก็น่าจะเป็นเพราะว่าสินค้าจากจีนเริ่มเข้ามาอินเตอร์เน็ตมันเข้ามาเนาะ ลูกค้าเขาก็จะเริ่มเห็นงานป้ายที่หลากหลายขึ้น เขาก็จะเริ่มมาถามว่าเอ้ยป้ายแบบนี้เราทำได้ไหมโน่นนี่นั่นเราก็ เราก็ทำได้คือจริง ๆ แล้วด้วยเครื่องมือที่เรามีอยู่ มันสามารถตอบโจทย์ไอ้พวกนี้ได้ทั้งหมดเลย ใช่แต่ว่าเราก็ไม่เคยคิดจะรับงานกันจริง ๆ จัง ๆ เพราะว่าตอนนั้นด้วยกลุ่มลูกค้าเราเป็นกลุ่มแม่ค้า ใช่ มันก็เกินกำลังพอเราเสนอราคาไปมันก็ไม่ผ่านใช่ไหม แต่ว่าพอหลัง ๆ กลุ่มลูกค้าเราเริ่มขยายขึ้น บริษัท ธุรกิจที่เป็นร้านอาหารเขามาเริ่มมากขึ้น พอเราเสนอราคางานป้ายพวกนี้เข้าไปมันก็มีความรู้สึกว่าราคาที่เราเสนอมันจับต้องได้ เราก็เริ่มแบบเอ๊ยได้นะเริ่มมาให้เราทำ” ช่วงเมื่อ 2-3 ปีก่อนน่าจะเป็น “ป้ายไฟกระจายแสง” ที่ร้านเราโดดเด่นที่สุด เป็นพวกเมนูเป็นเมนูอาหาร ซึ่งตอนนั้นที่เราขายในแพลตฟอร์มแล้วก็ค่อนข้างที่จะขายได้จำนวน ปีที่แล้วก็น่าจะได้ประมาณ 100-200 ตู้

ป้ายไฟ
“คุณภาพ” ที่มาพร้อมราคาจับต้องได้ ความพึงพอใจของลูกค้าสำคัญ!
สินค้าบางตัวที่เราดูในแพลตฟอร์มราคาถูกแบบ ถูกก็มี สูงเลยก็มี แต่ราคาที่เราทำเราดูที่ “คุณภาพ” ของเราเอาว่า ที่เราไหว ทีนี้สินค้าที่เราเอาลงในแพลตฟอร์มเราก็ดูว่าตัวนี้ราคาเราสู้ได้ ราคาเราไหว เทียบกับคุณภาพของเรา ไม่ต่ำเกินไป ไม่สูงเกินไป เอาให้มัน เราก็ไปได้ลูกค้าก็ได้ของที่มีคุณภาพดีกว่า“มันก็เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ในแพลตฟอร์มที่เราขายอยู่เนี่ย ลูกค้ารีวิวส่วนมากจะเป็น 5 ซะส่วนมาก ถ้าเกิดมีปัญหาที่แบบงานมีปัญหาโน่นนี่นั่นลูกค้าจะแจ้งเรามาก่อน เพราะว่าหนึ่งคือเรามีความ คืองานเรามันเป็นงานที่ต้องผลิตอยู่แล้วใช่ไหมคะ ทุกครั้งที่ลูกค้ากดสั่งซื้อมาเราได้คุยกับลูกค้า พอเราได้คุยกับลูกค้าเรามีความปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอยู่แล้วพอมันมีปัญหาปุ๊บลูกค้าจะทักมาบอกเราก่อนเลย ว่าน้องคะงานมันมีปัญหานะนู่นนี่นั่น งานแบบพังนะนู่นนี่นั่น อะไรเงี้ยเราก็จะแก้ปัญหาให้ลูกค้าทุกครั้ง” ไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดจากเราหรือเปล่า อย่างที่เราทราบเนาะแพลตฟอร์มกับปัญหาเรื่องขนส่ง มีแน่นอน ซึ่งจะบอกว่าที่พีคสุดคือเราส่งเหล็กไป เขาทำเหล็กเราพังได้!

ป้ายไฟกระจายแสง


มีบางอย่างที่ผลิตล่วงหน้า อย่างเช่น ป้ายไฟกระจายแสง แต่ส่วนมากสินค้าของร้านเรามันจะเป็นตามออร์เดอ เพราะลูกค้าจะเปลี่ยนโน่นนี่นั่นอยู่แล้วรายละเอียดเขามีอยู่แล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะผลิตไว้ล่วงหน้านอกจากจะเป็นอะไรที่เป็น “กรอบ” อย่างเดียวหรือว่าเป็นป้ายอย่างเดียว อย่างเงี้ย“บางทีลูกค้าสอบถามมาแล้วก็ดูตลาดโน่นนี่นั่นว่า ตอนนี้ตลาดเขากำลังสนใจอะไร งานประเภทไหนอยู่ อย่างเช่นตอนนี้งานผ้า 3P จะค่อนข้างที่จะมาไว แล้วก็ราคาค่อนข้างถูก คือลูกค้าบางคนเขาอยากได้งานที่มันแบบ บางทีเขาไปออกบูธที่แบบกลางแจ้งโน่นนี่นั่น แล้วเจอฝนขึ้นมาอย่างเงี้ย เราก็เลยได้งานผ้า 3P เข้ามาช่วยตอบโจทย์ตรงนี้” เป็นสื่อโฆษณาที่จำเป็นถึงว่าตอนนี้จะบอกว่างานโฆษณาส่วนมากจะไปอยู่ในแพลตฟอร์มซะส่วนมาก แต่ร้านค้าที่มีหน้าร้านแบบนี้ยังไงมันก็ต้องมีป้าย

ราคาเริ่มต้นสำหรับที่ร้าน จะอยู่ที่วัสดุ อย่างงานไวนีลอย่างเงี้ยก็หลักร้อย ถ้างานไฟก็เป็นหลักพันนิดหนึ่ง พันต้น-พันปลายแล้วแต่สเต็ปของร้านค้า“บางทีราคาอย่างที่บอกมันอยู่ที่วัสดุจริง ๆ เราก็ต้องมาคุยกันหน้างานว่าลูกค้าอยากได้วัสดุอะไร บางครั้งลูกค้าอยากซอฟต์ค่าใช้จ่ายอยากได้ราคาถูกจริง ๆ อะไรเงี้ย เราก็มองว่าอึ้ยพี่คะงานมันติดในที่สูงนะพี่ต้องเสียค่าช่างไปนะโน่นนี่นั่น อ้อก็จะแนะนำเขาว่า เพิ่มอีกนิดหนึ่งดีกว่าพี่มันคุ้มค่ากว่า เพราะว่าพี่อย่าลืมนะโอเคพี่ประหยัดงานวัสดุ (งานไวนีล) ได้แต่พี่ต้องไปเสียค่าช่างนะ อย่างเช่นไวนีลที่สีสเป็กปกติมันจะอยู่ได้แค่ปีเดียว สมมติพี่ต้องปีนขึ้นไปติดไปตั้งอย่างเงี้ยค่าช่าง 3,000-5,000 แต่ค่าไวนีลพี่ประหยัดไปแค่หลักร้อย-หลักพัน พี่เพิ่มอีกนิดหนึ่งมันจะอยู่ได้ถึง 3 ปี เอาอย่างนั้นดีกว่านะพี่ ก็ส่วนมากลูกค้าก็จะ เออใช่ เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ บางทีลูกค้าด้วยความที่เขาไม่มีประสบการณ์เขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ ไม่ได้คิดถึงค่าใช้จ่ายแฝงที่จะเกิดขึ้น” หรือบางเคสลูกค้าสเป็กมาแบบอู๋ยสวยหรูเลย! แบบอยากได้โน่นนี่นั่น แต่เรามีความรู้สึกว่าพี่งานพี่ติดตั้งภายใน พี่ใช้สเป็กนี้ก็ได้นะมันจะทำให้พี่ลด cost หรือประหยัดค่าใช้จ่ายลงมาได้ เอ้อ! เขาก็บอกโอเค อู้ยคุณน้องแนะนำดีมากเลย คือเออใช่ ๆ คือเขาไม่มีใครแนะนำแบบนี้

ป้ายผ้า 3P
บทเรียนจาก “สงครามราคา” รอดมาได้เพราะทำบัญชีงบการเงิน
ด้วยเศรษฐกิจเป็นแบบนี้บางที่บริษัทใหญ่ ๆ เขามีลูกน้องเยอะเนาะ บางทีเขาก็ต้องเอาไว้ก่อนราคายังไงก็ได้ลูกค้าขอราคาเท่าไหร่ก็ต้องเอาไว้ก่อน ให้ได้งานก่อน เราเคยทำสงครามราคา เราเคยทำมาแล้ว“แล้วเราก็เหนื่อยมาก มันเคยมีช่วงหนึ่งที่เรางานเยอะมาก! งานเยอะแบบ ลูกน้องแบบไม่ว่างไม่มีใครว่างเลย ทุกคนเหนื่อยกันหมดน่ะ จนเราอยากจะเพิ่มพนักงานขึ้นมาแต่เพิ่มไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะกำไรแทบไม่มี! คือทุกวันนี้จะบอกว่าทุกวันนี้มันแค่เลี้ยงตัวเอง ถ้าเราเพิ่มพนักงานมาอีกคนหนึ่ง เกือบขาดทุนละ! ถ้าเราไม่ทำแบบนั้นเราก็ไม่ได้งาน เหมือนวนอยู่ในอ่าง มันมีช่วงหนึ่งที่เราเป็นอย่างนั้นเลย เราวนอยู่กับปัญหานี้มานาน จนเรามาทำงบการเงินจริง ๆ จัง ๆ” มานั่งดูว่าสินค้าตัวนี้ที่เราขายดี เชื่อไหมว่าคือก่อนหน้านี้เราไม่เคยทำเรื่องนี้เลยพอมานั่งดูกับสินค้าที่เรารู้สึกว่าเฮ้ยมันดีเว้ย เฮ้ยมันขายดีว่ะ วันหนึ่ง ๆ 30-40 ชิ้น ตัวทำเงินเลย“กำไร 5 บาท! กำไร 5 บาทคือแบบว่าเน๊ะ ๆ เลยนะ คืออย่าให้ได้เสียนะ(หัวเราะ) กำไร 5 บาทจริง ๆ คือแบบ พอเรามานั่งดูงบการเงินเราจริง ๆ คือลูกน้องไม่มีเวลาไปทำงานอย่างอื่น เพราะว่าต้องทำงานตรงนี้ จนเราตัดสินใจว่าเราเลิก อ้อปิดเลยวันนั้นที่รู้ว่าไอ้เนี่ยมันทำให้เรา เสียทรัพยากรเราไปเยอะแยะไปหมดเลย อ้อเลิกผลิตอ้อเลิกขายเลย ปิดในระบบช้อปี้ลาซาด้าปิดทุกอย่าง ไม่เอาละ ไม่รับแล้ว” นั่นเป็นจุดเปลี่ยนจริง ๆ ลูกน้องเราเริ่มมีเวลามากขึ้น เราก็เริ่มมาโฟกัสงานที่มันแบบมันได้ผลกำไรสมน้ำสมเนื้อเรา เราก็เริ่มดูแลลูกค้ามากขึ้น นั่นคือจุดเปลี่ยนของร้านเลย มันทำให้ร้านเราแบบเนี่ยมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะว่าถ้าเรายังงมอยู่กับ “สินค้าขายดีแต่ไม่มีกำไร” มันก็ทำให้เราหมดแรงหมดพลังทุกคนหมดกำลังใจกันไปหมดเลย

ผ้า 3P
“ราคาถูก” ก็ไม่ใช่ว่า เราจะซื้อใจลูกค้าได้ทั้งหมด
เราอยากให้คนรู้จักเราก็แข่งราคา แต่เอาจริง ๆ ยอมรับว่าสินค้าตัวนั้นมันทำให้เราเป็นที่รู้จักของลูกค้าในแพลตฟอร์มเยอะขึ้น ถ้ามองในแง่ดีก็คือเราซื้อการตลาดแหละ ดีกว่าทำโฆษณาเนาะ พอเราซื้อการตลาดคนรู้จักเรา และก็บางคนจากที่สั่งตัวนี้เขาก็สั่งอย่างอื่นด้วยเพราะเขาเห็นว่าสินค้าเรามีอะไรบ้าง คนก็รู้จักเราจากสินค้าตัวนี้แหละ แต่พอเราเริ่มอยู่ตัวแล้วไม่เอาแล้วค่ะ(หัวเราะ) กลับมาเป็นตัวเองดีกว่าไม่งั้นตาย เหนื่อย เหนื่อยจริง ๆ สงครามราคาแบบนี้“คืออ้อจะบอกว่าสงครามราคาตัวนั้นที่เราทำสินค้าตัวนั้น เราก็ยังใช้คอนเซ็ปต์เดิมนะมันก็เลยทำให้เราเหนื่อย เราเหนื่อยมากบางทีลูกค้าแบบได้รับสินค้าไปไม่แฮปปี้โน่นนี่นั่น ลูกค้าอยากเปลี่ยนแบบ บางท่านเปลี่ยนเยอะมาก เราก็ไม่เคยแบบไม่ได้แล้วนะคะ เราก็ยอม คือมันกลายเป็นแบบว่าคุณภาพเราก็จะเอา ราคาเราก็จะเอา มันทำให้เราเหนื่อยนะ เหนื่อยโคตร ๆ เลย” ก็พอปรับสินค้าตัวนั้นออกไปได้เราก็เริ่มมองเห็นทิศทางตัวเองมากขึ้น ว่าเราควรจะไปทางไหน แต่อย่างที่บอก “คุณภาพ” ของเราก็สำคัญที่สุด เราไม่ได้มองว่า ราคามีความสำคัญก็จริงแต่ว่าราคามันก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของความต้องการของลูกค้า"อันนั้นคือบทเรียนที่เราได้จริง ๆ นะ ราคาถูกก็ไม่ใช่ว่า เราจะซื้อใจลูกค้าได้ทั้งหมด โอเคคนรู้จักจริง แต่เราก็จะไม่ได้ลูกค้าที่เป็น ที่ชอบเรารักเราจริง ๆ “

ติดตั้งงาน


ปรับตัวยอมรับสิ่งใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตขึ้น
คุณอ้อ-ลลิดา สาริกา เจ้าของร้านอ้อป้ายอิงค์เจ็ท ยังบอกด้วย สัดส่วนการตลาดของร้านในปัจจุบันที่ทำอยู่คือ ออนไลน์(ขายสินค้าในแพลตฟอร์ม) ประมาณ 70-80% ขณะที่หน้าร้านถือเป็นส่วนน้อยมากกว่า เป็นลูกค้าเก่าและก็ลูกค้าที่บอกต่อกันมา ความสำคัญของการค้าขายผ่านออนไลน์ในยุคนี้คุณอ้อยอมรับว่า มีความสำคัญมากจริง ๆ และเราก็ต้องยอมจ่ายในส่วนที่เราต้องจ่าย มันก็ต้องยอมตรงนั้นไป“อ้อเคยเห็นผู้ประกอบการบางคน คือด้วยความที่เราเป็นร้านป้ายเราก็จะได้คุยกับหลาย ๆ อาชีพบางคนเขาก็จะมองว่า อุ๊ยแพลตฟอร์มนี่มันเอาเปรียบเรา กินเงินเราไปตั้งเท่าไหร่ ฉันไม่เอาหรอก แต่อ้อมองว่ามุมมองตรงนี้มันคือมุมมองที่แบบทำให้เรา ไม่เติบโต เรายอมรับว่าแพลตฟอร์มมันมีค่าธรรมเนียมนู่นนี่นั่นเราก็บวกไป ลูกค้าที่มาใช้บริการแพลตฟอร์มพวกนี้เขายอมรับอยู่แล้ว เขาก็ซื้อความสะดวกสบายของเขา อ้อก็พยายามที่จะแนะนำเขานะ” บางคนก็แนะนำได้เนาะบางคนก็ เขาก็ยังไม่ get เรื่องพวกนี้ บางทีเราก็บางคนไม่มีความรู้เรื่องการทำไลน์แอด (Line Ads) เราก็แนะนำเขา พี่ไลน์แอดสำคัญบางทีสมัครให้ด้วย(หัวเราะ) สมัครให้เขาด้วยนะ แนะนำว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นนะสินค้าพี่มันควรที่จะใช้ไลน์แอดนะ เพื่อเรียกลูกค้า




การพัฒนาต่อไปคุณอ้อบอกว่า ตอนนี้กำลังมองว่าอ้อน่าจะมาเล่น “งานป้ายไฟ” อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเพราะตอนนี้เริ่มบุกตลาดงานป้ายไฟแล้ว ตอนนี้ต้องบอกว่าร้านค้าทุกร้านเริ่มมองงานป้ายไฟเป็นเรื่องเบสิกพื้นฐานแล้ว จะไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนเขาจะมองว่างานพวกนี้คืออีกเกรดหนึ่งแต่ตอนนี้ “ราคา” มันเอื้อมถึงอ้อก็มองว่า เดี๋ยวอ้อน่าจะบุกงานป้ายไฟพวกนี้มากขึ้นเพราะฐานลูกค้าเรามี อย่างงานร้านมือถือ ป้ายมือถืออ้อทำมาตั้งแต่ สมัยก่อนมันจะเป็นอีกแบบหนึ่ง เป็นกล่องเล็ก ๆ เดี๋ยวเราก็จะเริ่มพัฒนา คือด้วยลูกค้าเราเปลี่ยน แต่ก่อนเขาเป็นตู้ใช่ไหม ป้ายเขาก็จะเล็ก ๆ น่ารัก ๆ แต่เขาเริ่มออกมาอยู่ข้างนอกป้ายเขาก็จะเริ่มใหญ่ขึ้น อาจจะเป็นป้ายไฟขนาดใหญ่ นั่นคือข้อได้เปรียบที่อ้อมีอยู่อ้อยังมีฐานลูกค้าร้านมือถืออยู่ อ้อก็มองว่าเดี๋ยวอ้อจะเริ่มบุกตลาดพวกนี้ก่อนเอาลูกค้าที่เรามีก่อน ให้เขารู้จักเราว่าเราทำพวกนี้ได้เหมือนกัน



“งานป้าย” ธุรกิจที่ไม่มีวันตายปรับตัวจนข้ามผ่าน "สงครามราคา" มาได้ถึงวันนี้กว่า 17 ปีร้านอ้อป้ายอิงค์เจ็ท ขอบคุณเรื่องเล่าจากธุรกิจงานป้ายซึ่งทำให้เหมือนเราได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไป หวนนึกถึงสื่อโฆษณาในยุคก่อนหน้าที่เราจะมาถึงจุดที่โซเชียลมีเดียเฟื่องฟูสุด ๆ ตอนนี้ ในวันที่เราแลก LINE แลก ID กันเพื่อจะติดต่อสื่อสารกลับไปหลังจากที่ได้มารู้จักกันแล้ว แทนที่ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งที่ “นามบัตร” เป็นอะไรที่ทุกคนต้องมีสำหรับการใช้แนะนำตัวหรือเพื่อติดต่อสื่อสารหากัน ไม่ได้บอกว่าถึงตอนนี้นามบัตรก็ไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่ว่าการใช้ไม่ได้เป็นตลาดแบบ mass เหมือนแต่ก่อนเท่านั้นเอง รวมถึงการสื่อสารระหว่างกันหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่ได้เปลี่ยนไป เฉกเช่นเดียวกับธุรกิจงานป้ายเองก็ต้องมีการปรับตัวตามความต้องการของตลาดอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ท่ามกลางการแข่งขันที่มีความดุเดือดมากขึ้นก็ทำให้แต่ละคนต้องพยายามหาจุดยืนของตัวเอง เป็นจุดขายอย่างแข็งแกร่ง เพื่อให้ไปต่อในธุรกิจได้ต่อไป..

สามารถติดตามผลงานหรือสนใจเกี่ยวกับ “งานป้าย” ติดต่อไปได้ที่ ร้านอ้อป้ายอิงค์เจ็ท หมู่บ้านบัวทองธานี อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โทร.081-205-9829 เพจ: ร้านอ้อป้ายอิงค์เจ็ท

คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น