xs
xsm
sm
md
lg

“ชีสพ่นไฟ” by ปุงเบน มันอบปรุงรสเพิ่มเครื่องแน่น ๆ ขายได้! ขายดี เพราะเน้นคุณภาพเป็นสำคัญ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ตัวมันอบชีสที่เราเลือกใช้วัตถุดิบ มันฝรั่งนำเข้าจากฮอลแลนด์เท่านั้น เพราะให้เนื้อที่เหนียวและเนียนละเอียดกว่า เนยกับชีสก็ใช้ของแท้จากแบรนด์ดังทุกอย่างจะค่อนข้างคัดสรรมาแล้ว เครื่องปรุงรสเครื่องแต่งหน้า เน้นใช้แต่ของดีมีคุณภาพ”



“ความมั่นคง” อยู่ที่ตัวเราผู้เขียนรู้สึกอยากจะพูดคำ ๆ นี้ เพราะหลังจากได้ฟังเรื่องราวของ “เบน-ภีมพัฒน์ ปฏิญญาพิทักษ์” อายุ38 ปี และ “มิว-อัจฉรา อร่ามพงษ์”อายุ32 ปี แล้วซึ่งคนหนึ่งเคยทำงานรับราชการที่ใคร ๆ ต่างมองว่า เป็นอาชีพที่มั่นคง สังกัดอยู่ในกระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่ง กำลังเติบโตมีตำแหน่งหน้าที่การงานตามลำดับอายุการรับราชการมากว่า 11 ปี แต่ทว่าเมื่อต้องแลกกับความอึดอัดใจในหลาย ๆ เรื่องที่ทำให้รู้สึกคับข้อง เบนบอกว่าพอดีกว่า! ไม่เอาแล้ว อยู่ต่อไม่ไหวขอลาออกมาเลยแล้วกัน และส่วน “มิว” เองตอนนั้นจากพนักงานราชการลาออกมาเป็นเซลล์ขายอุปกรณ์ไอทีให้กับหน่วยงานเดิมที่เคยทำงานอยู่มากว่า 7 ปีด้วย ทั้งสองคนพร้อมใจลาออกย้อนหลังกลับไปช่วง5-6 ปีก่อน โดยที่ยังไม่มีแพลนอะไรใด ๆ ที่ชัดเรื่องของอาชีพรองรับ มีแต่ชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป


“ร้าน “ชีสพ่นไฟ”ที่เราเริ่มเปิดขายอยู่ที่ Century (บีทีเอส อนุสาวรีย์ชัยฯ)ตั้งแต่ประมาณเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านี้เรามีร้านประจำอยู่ที่สวัสดิการกองทัพบกมีนานแล้ว หลายปีแล้ว แต่ว่าเป็นธุรกิจอื่นนะคะคือพวกเราทำหลายอย่าง”


ซึ่งก่อนจะมาเป็นร้าน “ชีสพ่นไฟ”เปิดขายมันอบชีส ที่ถือว่าเป็นธุรกิจล่าสุดของทั้งสองคน เบนเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่ลาออกจากงานมา ตอนนั้นเหมือนว่าทุกอย่างมันพร้อมใจกันประเดประดังเข้ามา เริ่มต้นจากตัวเองโดนโกงสูญเงินไปกว่าหลักล้าน! จากการทำธุรกิจเงินกู้นอกระบบเองด้วยเรียกว่า เงินในบัญชีหายเกลี้ยงไปหมดเลย อยู่ต่อมาไม่นานอีก “บ้าน” ซึ่งอยู่ในซอยชุมชนสวนเงินก็ถูกไฟไหม้วอดไปหมดทั้งหลัง ไม่เหลืออะไรเลย! ต้องกลายเป็นคนไม่มีบ้านอยู่กันทั้งครอบครัวซึ่งมีหลายชีวิต เท่านั้นยังไม่พอเมื่ออยู่ ๆ “พ่อ” ของมิวก็มาด่วนเสียชีวิตไปอย่างกะทันหันด้วย ในช่วงของการฉีดวัคซีนโควิดฯ(เข็ม2) ระยะเวลาไม่ห่างกันมาก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนหนัก ๆ ทั้งนั้น ทำให้ต้องสู้กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เบนูพูดว่า “ที่หนูต้องขยันทำโน่นนี่นั่นหลายอย่างก็เพราะว่า เหตุผลเดียวเลย คือ บ้านไฟไหม้และก็โดนโกงเงินไปจนหมดตัว” ยังดีที่ว่าก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้สิทธิ์เข้าไปค้าขายอยู่ใน “ร้านค้าสวัสดิการกองทัพบก” ก็เลยทำให้มีอาชีพที่พอยึดเป็นหลักบ้าง ประเดิมธุรกิจแรกในชีวิตเลย คือ ร้านชานมไข่มุกปั่น สูตรคือคิดขึ้นมาเองไม่ได้ไปซื้อแฟรนไชส์ใด ๆ มาจากใครเป็นการประยุกต์จากการได้ไปชิมมาหลาย ๆ ที่แล้ว ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดีมากรายได้ตอนนั้น กว่า7-8 หมื่น/เดือน หลังจากหักทุกอย่างแล้ว และยังสามารถขยายสาขา2 ได้อีกอยู่ที่ตลาด “เจเจกรีน” ภายในเวลา 2 ปี โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า “ทำเป็นเข้ม” มาจากสูตรทุกอย่างที่ทำคุณภาพจะเข้มมาก


ร้านน้ำกำลังดี ๆ ได้อยู่สักพัก และหลังจากที่จัดการงานของ “พ่อ” มิวแล้วก็ต้องเจอกับภาวะ ร้านต้องปิดไป! เพราะว่ามีการทวงพื้นที่คืนในโซนชั้นบนซึ่งเป็นห้องแอร์ แล้วให้ร้านค้าต่าง ๆ ย้ายกันลงมาขายอยู่ที่ด้านล่างแทน เบนกับมิวบอกว่าเนื่องจากที่ขายใหม่มีร้านน้ำต่าง ๆ หลายเจ้าที่ขายกันอยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่ทว่ายังดีพอมีทางเลือกให้บ้าง เพื่อนที่สนิทกันซึ่งมาทำร้านยำอยู่ก่อนเขามีปัญหาเรื่องของการเดินทางไป-กลับที่ไกล ก็เลยบอกยกร้านยำให้กับพวกตนเข้าดูแลต่อช่วงไปจากตอนนั้น ก็เลยปักหลักทำร้านยำกันมานานหลายปีจนกระทั่ง อยู่มาวันหนึ่งเจ้าถิ่นเก่าซึ่งเคยขายยำที่นี่มาก่อนตั้งนานแล้ว หายไปนานหลายปีเลยแต่ว่าอยู่ดี ๆ ก็กลับมาจะทำร้านยำต่ออีก คงเห็นแล้วว่าร้านของพวกตนทำ-ขายดี ประกอบกับในช่วงนั้นก็ได้รู้จัก “มันอบชีส” แล้ว เกิดความสนใจที่อยากจะทำพอดี เพื่อเป็นการหลีกทางให้ก็เลยตัดสินใจคืนร้านยำไปก่อน แล้วขอจดทะเบียนใหม่เป็นร้านมันอบชีสกับพิซซ่าแทน ทั้งที่ตอนนั้นก็ยังทำไม่เป็นเลย แต่ว่าก็ขอจดทะเบียนร้านรอเอาไว้ก่อน

มันฝรั่งคัดเกรดอย่างดีนำเข้าจากฮอลแลนด์

เนื้อจะเหนียวและเนียนละเอียดกว่า
ช่วงโควิดฯ ที่ผ่านมาเบนกับมิวก็บอกด้วย ได้รับผลกระทบจากการต้องปิดร้านอาหารไปตามมาตรการของภาครัฐ ทำให้ตอนนั้นขาดรายได้ไปทันที แต่ว่าจากการที่มีภาระทั้งค่างวดรถต้องส่ง และบ้านก็ต้องสร้างใหม่หลังจากที่เกิดไฟไหม้ไปจนหมดแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นก็คือเปิดร้านตัดผมสไตล์วินเทจ ที่ทั้งสองได้ไปซุ่มเรียนวิชาทำกินนี้มาด้วย กลายเป็นตัวเลือกท่ามกลาง “ข้อกฎหมาย” ที่ค่อนข้างเข้มข้นมาก ในเรื่องของมาตรการป้องกันโรคโควิดฯ เป็นลักษณะของการรับงานนอกสถานที่ด้วย แอบทำกันแบบลับ ๆ เฉพาะลูกค้าที่รู้กันเท่านั้น ใกล้-ไกลก็ไปบริการตัดผมให้ได้ถึงบ้านในราคาตามที่ตกลงกัน ช่วงนั้นก็เลยพอมีรายได้อยู่3-4 หมื่น/เดือน แต่ว่าทำไปทำมาในที่สุดถูกจับเพราะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายในเวลานั้น โดนปรับจ่ายไปเป็นเงินก็หลายอยู่เลยต้องเลิก จากนั้นก็ไปทำเป็นผู้รับเหมาส่งของให้กับเคอรี่อยู่จนกระทั่ง ได้เริ่มกลับเข้ามาทำร้านตามปกติอีกครั้ง

การเบิร์นชีส


“จริง ๆการทำมันอบชีสเดิมคือ ต้องยกเครดิตให้น้องมอส น้องแอน เป็นรุ่นน้องที่รู้จักกัน ซึ่งเขาเป็นคนไปศึกษามาจากพวกตามกระแส น้องเขาก็ไปศึกษา ซึ่งบ้านเขาอยู่ย่าน มีนบุรี ร่มเกล้า ฝั่งทางโน้นกันเขาก็มาได้ที่ตรงนี้ก่อน เราต้องให้เครดิตเขา เขามาอยู่ที่นี่ก่อน แล้วเขาก็ขายดี” เบนบอกว่าในช่วงระหว่างการออกบูธอยู่ที่Century ด้วยความที่มีมิตรไมตรีดีต่อกัน คอยช่วยเหลือกัน ซึ่งตอนนั้นตนกับมิวก็มาออกบูธปาท่องโก๋ กระทั่งพองานจบแล้วจะต้องแยกย้ายกันไป ซึ่งสิ่งที่ได้จากเพื่อนให้มาเป็นการตอบแทนน้ำใจที่มีให้กัน ก็คือว่าเป็นธุรกิจใหม่อันนี้ “มันอบชีส”“ชื่อร้าน “ชีสพ่นไฟ”ก็คือเป็นชื่อของเราที่ตั้งขึ้นมาเอง หลังจากที่ได้วิธีการทำมา จากนั้นเราก็เริ่มมาปรับสูตรมาประยุกต์ให้เป็นแบบของเราเอง วัตถุดิบหลักที่เลือกใช้ก็คือ ต้องเป็นมันฝรั่งที่นำเข้าจากฮอลแลนด์เท่านั้น จะได้เนื้อที่เหนียวและเนียนละเอียดกว่า หอมกว่า เวลากินจะรู้สึกเหมือนกินมันบด แล้วเลือกใช้ “เนยแท้” เพราะเวลาผสมเข้ากับเนื้อมันที่อุ่นให้ร้อนแล้ว เย็นก็จะไม่จับตัวกันเป็นไข ด้วยความที่เราเองทำมาหลายอย่างก็เลยมองไปถึง “มันบด” ที่เรากิน เขาจะมีส่วนผสมพวกพริกไทย ความออริจินอลของฝรั่ง คือ พริกไทยและก็เกลือ ใส่ไปนิดหน่อยอะไรแบบนี้ แต่ว่าไม่ต้องถึงขนาดใส่นมใส่อะไรมากไปเพราะเดี๋ยวมันจะเละเทะไปกันใหญ่”


กิจการร้านยำที่ได้รับการตอบรับดีมากเพราะทำของดีมีคุณภาพ
ส่วนวัตถุดิบอื่น ๆ ก็จะคัดมาแบบอย่างดีเลย เบคอน ก็ใช้เป็นแบบของคุณภาพมาเลย แฮม ไส้กรอก ปูอัด ข้าวโพดหวาน
(แบบต้มแกะเมล็ด) และแบบที่เป็นฟรุตค็อกเทล ก็ใช้ของแบบอย่างดี และโดยเฉพาะ “ชีส” ก็ต้องเป็นยี่ห้อที่ดี ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นทั้งในเรื่องของรสชาติต้องอร่อยด้วย และมีความยืดได้ยาว ๆ ที่เป็นจุดขายสำคัญของชีสซึ่งทำให้ลูกค้าที่เป็นคนกินชอบด้วย เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งราคาที่เปิดขายอยู่จะเริ่มที่ราคา59 บาทเลือกหน้าได้อย่างเดียวแต่ชีสฟรี! ถ้าสั่งพิเศษก็ราคา69บาท ใส่ทุกอย่างที่มีอยู่ให้หมดเลย โดยร้านมันอบชีสพ่นไฟจะเปิดอยู่ที่นี่ก่อนแล้วจึงค่อยไปทำขายอยู่ที่ร้านสวัสดิการ ทบ.ด้วย ตามชื่อร้านที่ได้ขอจดทะเบียนเอาไว้ ซึ่งก็จะมี “พิซซ่ามินิ”ที่ขายคู่กันด้วย

ธุรกิจสร้างชื่ออีกหนึ่งคือปาท่องโก๋-นำ้เต้าหู้ ที่ขายตลาดเช้าด้วย
และอย่างที่ “มิว” บอกเอาไว้ว่า พวกตนเองทำหลายอย่าง เพราะนอกจากร้านมันอบชีสพ่นไฟที่ขายอยู่กับทางห้างเซ็นจูรี่ ผ่านคอนแทคกับทีมออร์แกไนซ์ที่รับจัดงานอีเว้นต์แล้ว ซึ่งใน1 เดือน จะมีเปิดขายอยู่ที่นี่ประมาณ15 วัน/ครั้ง และช่วงเวลาที่ขายของดีคือจะเป็นเย็น ๆ หลังจากคนเลิกงานแล้วจะมาเดินหาของกินกัน แล้วพอสักประมาณสามทุ่มก็จะเก็บร้าน-ปิดกลับบ้าน แต่ทว่าทั้งสองคนจะไม่ได้จบงานอยู่แต่เพียงแค่นี้ ยังต้องกลับมาเตรียมของต่อสำหรับที่จะออกขาย “ปาท่องโก๋ไร้คู่น้ำเต้าหู้โบราณ” ตอนเช้ามืดอีก ซึ่งเบนบอกว่าตัวเองจะต้องตื่นก่อนช่วงประมาณตี3 ครึ่ง เพื่อมาปั่นถั่วต่าง ๆ สำหรับทำน้ำเต้าหู้ออกขายสดใหม่วันต่อวันเลย จากนั้นก็จะปลุกมิวให้ตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวสำหรับออกตลาดขายในตอนเช้า ซึ่งก็จะมีแผงประจำอยู่ที่โซนด้านหน้าของสวัสดิการ ทบ.เป็นตลาดเช้า จุดเด่นของปาท่องโก๋คือ จะเป็นตัวเดียวที่ทอดเดี่ยว ๆ เลยมาจากแนวคิด ที่คิดเองว่าปกติทำเป็นคู่เวลาจะกินก็มักจะฉีกออกเป็นตัว ๆ กันอยู่แล้ว และจากที่พบได้เองคือ ทอดเป็นตัวเดี่ยว ๆ แบบนี้การอมน้ำมันก็จะน้อยกว่าและได้รสสัมผัสแบบการกินซาลาเปาทอดซึ่งพอเย็นแล้วจะไม่เหนียวแข็งเหมือนปาท่องโก๋ที่เป็นแบบคู่ด้วยแล้วพอถึงช่วง 08.00 น. ก็จะต้องปิด-เก็บร้านทันทีเพื่อที่ ไปเตรียมเปิดร้านต่อที่อยู่ด้านในซึ่งจะขายมันอบชีสกับพิซซ่า ชีวิตประจำวัน “จันทร์-เสาร์” จะทำงานกันแบบนี้และยังมีงานรับ “จัดเบรก” สำหรับการประชุมหรือสั่งอาหารเมนูยำต่าง ๆ เพื่อทำไปส่งให้ด้วยก็รับทำอยู่เช่นกัน หยุด1 วันคือวันอาทิตย์ แต่ถ้าช่วงไหนที่ตรงกับออกบูธร่วมทางห้างCentury ก็จะไม่หยุดเลยต้องไปขายให้ครบทุกวันตามที่ตกลงกันไว้ก่อน

บูธชีสพ่นไฟที่เปิดขายอยู่ด้านหน้าของห้างเซ็นจูรี่
ถามถึงรายได้บ้าง ซึ่งทั้งสองคนก็เล่าให้ฟังด้วย อย่างร้านมันอบชีสพ่นไฟจะขายได้อยู่ต่อวันถ้าสำหรับที่นี่ก็ประมาณ เป็นหลัก100 กว่าหัวขึ้นไปในช่วงที่ขายดี ๆ และส่วนที่ร้านสวัสดิการฯ ก็จะต่างกันไปกับที่นี่ มันอบชีสที่ออกต่อวันอยู่ในเรทหลักสิบแต่ที่นั่น “พิซซ่ามินิ” ก็จะขายดีกว่า ก็ได้ต่อวันเป็นหลักหลายสิบถาดอยู่ สำหรับร้านตอนเช้ากิจการปาท่องโก๋-น้ำเต้าหู้ อันนั้นก็จะได้กำไรค่อนข้างดีเลย ต่อเช้าที่ขายได้อยู่ประมาณ10 กิโล(แป้ง) ของหมดทุกวัน น้ำเต้าหู้1 หม้อใหญ่ก็หมดเกลี้ยงรวมถึงน้ำธัญพืชเพื่อสุขภาพ (ถั่ว7 สีฯ) ก็ขายดีและส่วนมากขายหมดวันต่อวันเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีงานรับ “ตัดผม” ด้วยก็ยังทำอยู่ควบคู่กันไป “อะไรที่เราพอทำได้ เศรษฐกิจแบบนี้ด้วย ก็จะทำทุกอย่างไปก่อนค่ะพี่” นี่คือวิธีการคิดและความขยันอย่างไม่เคยย่อท้อของทั้งสองคนที่ต่างทำมาอยู่ตลอดเวลา มิวบอกว่าชื่อร้าน “ชีสพ่นไฟ” ที่ตั้งเอาไว้แบบให้สื่อความหมายกว้าง ๆ เพราะเดี๋ยวเผื่อเอาไว้หากตอนไหนกระแสความนิยม “มันอบ” เริ่มซาลงไปก็จะได้มองหาอย่างอื่นเพื่อมาทำต่อไปได้ด้วย และส่วนแบรนด์ใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า “ปุงเบน” อันนี้เจ้าของ(เบน) เฉลยถึงที่มาของชื่อปุงเบนว่า มาจากเด็ก ๆ หลาน ๆ ที่ตนเองเลี้ยงอยู่และก็ลูกของเพื่อนด้วยมักเรียกตนเองกันตามเพศสภาพที่เห็น(เพศที่สาม) และออกเสียงเป็น “ปุง”(แทนที่จะเป็นลุงเบน) ก็ตามประสาของเด็ก ๆ เขา เลยรู้สึกว่าชอบ และนำมาใช้เป็นชื่อแบรนด์ใหม่ของตนเองเสียเลย

หากเทียบกันเรื่องของรายได้ “มนุษย์เงินเดือน” กับ “อาชีพค้าขาย” ทั้งสองคนยืนยันเลยว่าคิดไม่ผิดรู้อย่างนี้ลาออกมาตั้งนานแล้ว เบนบอกว่าสวัสดิการต่าง ๆ ในชีวิตที่เราเคยห่วงกันว่า อยู่ในระบบของราชการย่อมดีกว่า มั่นคงแน่นอนกว่า แต่ว่าเอาเข้าจริง ๆ พอเรามีรายได้ที่ดีพอ ทุกอย่างก็สามารถจัดการได้แบบที่ใจเราต้องการมากกว่า สะดวกและดีอย่างให้เห็นได้ชัดกว่ามาก แล้วงานค้าขายถ้าเราขยันทำมากก็มีโอกาสได้มากขึ้นไปด้วย ดังนั้นก็เลยเป็นที่มาของ “ความมั่นคง” อยู่ที่ตัวเราสร้างขึ้นมาเองได้! ที่ผู้เขียนเองแอบนึกเทียบเคียงได้กับน้อง ๆ ทั้งสองคนนี้เป็นตัวอย่างชัดเจน

แวะไปชิมของอร่อย ๆ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.062-365-5164, 098-623-2641

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *


กำลังโหลดความคิดเห็น