ศูนย์วิเคราะห์ TMB คาดราคา 5 พืชเศรษฐกิจสำคัญตกต่ำ ได้แก่ ข้าว ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ปัจจัยฉุดเศรษฐกิจระดับภูธรซึมยาว คาดเม็ดเงินหายจากภูมิภาคกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท ชี้ปัญหารุมเร้าทั้งภัยแล้ง ยอดส่งออกลด บั่นทอนกำลังซื้อในท้องถิ่น และกระทบไปถึงยอดขายและสภาพคล่อง SMEs
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics เผยผลการวิเคราะห์ คาดปี 2559 ถือเป็นปีที่ไม่สดใสสำหรับเกษตรกรผู้เพาะปลูก 5 พืชเศรษฐกิจสำคัญ คือ ข้าว ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายปัจจัยเกิดขึ้นต่อเนื่องข้ามปี เริ่มต้นจากพืชสำคัญอย่าง ข้าว ที่มีมูลค่าผลผลิตกว่า 3.5 แสนล้านบาทนั้น ยังประสบปัญหาภัยแล้งที่ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกข้าวนาปรังได้ในหลายพื้นที่ อีกทั้งราคาข้าวไม่อาจเพิ่มขึ้นได้แม้ปริมาณผลผลิตลดลงเพราะยังมีข้าวในสต๊อกของรัฐบาลกว่า 13 ล้านตัน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า เช่น แอฟริกา และจีน
นอกจากนั้น ยางพาราและมันสำปะหลังที่ส่งออกไปตลาดจีนเป็นหลัก เศรษฐกิจก็ยังคงชะลอตัวกดดันราคาต่อเนื่องในปีนี้ ประกอบกับการเปลี่ยนนโยบายข้าวโพดของจีน ที่อาจกระทบต่อการส่งออกมันสำปะหลังซึ่งพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก ในขณะที่อ้อยเองก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่กดราคาน้ำตาลในตลาดโลก และท้ายสุด ปาล์มน้ำมันที่ราคาในประเทศสูงกว่าราคาคู่แข่งอย่างมาเลเซียก็มีแนวโน้มราคาลดลงจากภาวะสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศมีมากเกินไป
ทั้งนี้ พืชเศรษฐกิจหลัก 5 ชนิดมีมูลค่าผลผลิตที่เกษตรกรขายได้มากกว่า 7.5 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นรายได้ที่กระจายไปสู่ครอบครัวเกษตรกรในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 34 มูลค่า 2.54 แสนล้านบาท รองลงมาคือภาคใต้ และภาคเหนือ มีสัดส่วนร้อยละ 27 และ 19 คิดเป็นมูลค่า 2.01 และ 1.42 แสนล้านบาทตามลำดับ
ผลการศึกษาของศูนย์วิเคราะห์ฯ พบว่า มูลค่าผลผลิตของพืชเศรษฐกิจสำคัญที่เกษตรกรจะขายได้ในปี 2559 จะลดลงประมาณ 6% คิดเป็นมูลค่ากว่า 4.52 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีรายได้ลดลงมากที่สุดประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท จากราคาข้าวนาปีและราคามันสำปะหลังที่ลดลง เกษตรกรภาคใต้ได้รับผลกระทบรองลงมาจากราคายางพาราและปาล์มน้ำมันที่ลดลง ทำให้เม็ดเงินหายไปจากพื้นที่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นต้น ทำให้มีความกังวลเพิ่มเติม จากรายได้การขายผลผลิตที่ลดลงหลายหมื่นล้านบาท จะทำให้กำลังซื้อของเกษตรกรลดลง เม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ลดลง กระทบต่อยอดขายและสภาพคล่องของธุรกิจ SMEs เป็นลูกโซ่
เราคาดว่าธุรกิจที่น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง คือ ธุรกิจค้า/จำหน่าย ปุ๋ยและเคมีการเกษตร เครื่องจักรกลเกษตร และกลุ่มสินค้าที่ราคาสูงและอายุใช้งานนาน สินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์ จักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ นอกจากนี้ ยังทำให้ธุรกิจรับซื้อหรือรวบรวมผลผลิตมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลงอีกด้วย
ดังนั้น ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ถูกรุมเร้าจากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอในปีนี้ การช่วยพยุงเศรษฐกิจภูมิภาคและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจึงเป็นโจทย์สำคัญของการพลิกฟื้นเศรษฐกิจในปีนี้ โดยต้องระวังเป็นพิเศษกับมาตรการช่วยเหลือที่อาจกระทบต่อกลไกตลาด ส่งผลต่อโครงสร้างตลาดและกลไกราคา รวมถึงมาตรการที่ส่งผลให้มีการสะสมสต๊อกสินค้าเกษตร เช่น นโยบายจำนำข้าว หรือนโยบายรับซื้อยางพารา จนกลายเป็นสต๊อกที่ต้องใช้เวลานานในการระบายออก และส่งผลกดดันราคาข้าวและยางพาราในระยะยาวดังที่เป็นอยู่ แม้ว่าเกษตรกรจะได้รับการช่วยเหลือในระยะสั้น แต่กลายเป็นดาบสองคมกลับมาส่งผลลบต่อเกษตรกรเองในระยะยาว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *