กรมพัฒนาธุรกิจการค้าออกคำสั่งกำหนดหลักเกณฑ์การเรียกเอกสารประกอบการยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งและเพิ่มทุนของห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่มีทุนเกิน 5 ล้านขึ้นไปอย่างเข้มงวด เนื่องจากพบปัญหานิติบุคคลบางรายมีพฤติกรรมส่อไปในทางหลอกลวงประชาชน แสดงตัวเลขทุนจดทะเบียนสูงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมกับบุคคลภายนอกโดยไม่นำเงินมาลงทุนจริง สุดท้ายเป็นคดีฟ้องร้องสร้างความเสียหายแก่ภาพลักษณ์ และระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย
นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีการนำหนังสือรับรองทางทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าออกให้ไปใช้ในการทำนิติกรรมจำนวนมาก บางรายมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางหลอกลวงประชาชน โดยแสดงตัวเลขทุนจดทะเบียนที่สูงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
กรมฯ ในฐานะเป็นผู้รับจดทะเบียนจึงเพิ่มความเข้มงวดในการรับจดทะเบียนจัดตั้งและเพิ่มทุนของห้างหุ้นส่วนและบริษัทให้มากขึ้น โดยกำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขอจดทะเบียนจัดตั้งหรือเพิ่มทุนต้องแสดงเหลักฐานที่น่าเชื่อถือและสามารถยืนยันได้ว่ามีการชำระเงินลงทุนจริงตามที่ขอจดทะเบียน
โดยในการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ กรณีชำระด้วยเงิน ให้จัดส่งหลักฐานที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองว่าหุ้นส่วนผู้จัดการหรือกรรมการของนิติบุคคลที่จัดตั้งได้รับชำระเงินลงทุนไว้แล้ว พร้อมคำขอจดทะเบียนจัดตั้ง และเมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนแล้วต้องส่งหลักฐานที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองว่าได้มีการโอนเงินเข้าบัญชีของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดที่จัดตั้งใหม่นั้นจริงภายใน 15 วัน
หากเป็นการลงทุนด้วยทรัพย์สินให้จัดส่งหนังสือยืนยันของผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด พร้อมคำขอจดทะเบียนจัดตั้ง และเมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนแล้วต้องส่งหลักฐานที่แสดงว่าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นๆ หรือบัญชีแสดงรายละเอียดทรัพย์สินหรือสัญญาให้ห้างหุ้นส่วนใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน ภายใน 90 วันนับจากวันจัดตั้ง
กรณีเพิ่มทุนด้วยเงิน ต้องแสดงหลักฐานการชำระเงินลงทุนที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองว่าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดได้รับชำระเงินเพิ่มทุนไว้แล้วในวันยื่นขอจดทะเบียนเพิ่มทุนด้วย หากเพิ่มทุนด้วยทรัพย์สิน ต้องส่งสำเนาหลักฐานการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือบัญชีแสดงรายละเอียดทรัพย์สินแล้วแต่กรณี พร้อมคำขอจดทะเบียนเพิ่มทุน ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่บุคคลภายนอกที่จะเข้าทำนิติกรรมกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด หากพ้นระยะเวลาที่กำหนดให้จัดส่งหลักฐานเพิ่มเติมแล้วผู้ขอจดเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตาม กรมฯ จะพิจารณาเพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าวต่อไป โดยคำสั่งดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2558 เป็นต้นไป
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *