xs
xsm
sm
md
lg

“เอสเอ็มอีแบงก์” แจงลดหนี้เน่าเข้าเป้า ฟันกำไร 350 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการบริหาร
“เอสเอ็มอีแบงก์” แจงผลงาน Q1 ยอดหนี้เน่าลดลงจากปี 2555 จาก 31,279 ลบ. เหลือ 27,073 ลบ. คิดเป็น 28.12 % รวมหนี้ตกชั้นไตรมาสแรก จำนวนกว่า 2,200 ลบ. หนี้เน่าสุทธิมูลค่า 30,731 ลบ. ยอดการปล่อยสินเชื่อรวม 6,778 ลบ. จำนวน 2088 ราย ขณะที่กำไรสุทธิ 1,705 ลบ. กันเงินสำรอง 1,355 ลบ. เหลือกำไร 350 ลบ.

นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2556 ว่า ในส่วนของ NPLทางธนาคารได้มีการแก้ไขปรับสถานะขึ้นเป็นลูกค้าปกติได้จำนวน 2,482 ล้านบาท และลูกค้ามีการปิดบัญชีและชำระเงินคืนธนาคารอีก 374 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อนโยบายภาครัฐ (PSA) ที่มีการชดเชยความเสียหายซึ่งได้รับการผ่อนผันการจัดเป็นสินทรัพย์เสี่ยงและไม่ต้องกันสำรองจากกระทรวงการคลังที่ไม่ควรนับเป็น NPL อีก 1,350 ล้านบาท ส่งผลให้ธนาคารน่าจะมียอด NPL ลดลงเหลือ 27,073 ล้านบาท หรือคิดเป็น 28.12%

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีหนี้บางส่วนที่เป็นหนี้ตกชั้น (หนี้สูญ) จำนวน 1,570 ล้านบาท (ปี 2555) และในปี 2556 มีลูกค้าเป็นหนี้ตกชั้นเพิ่มเติม 738 ล้านบาท รวมกับการจัดชั้นหนี้สินเชื่อ PSA 1,350 ล้านบาท เป็น NPL ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2556 NPL ของธนาคารเท่ากับ 30,731 ล้านบาท หรือเท่ากับ 31.92%

สำหรับในส่วนของสินเชื่อ ไตรมาส 1/2556 ธนาคารมีปล่อยสินเชื่อรวม 6,778 ล้านบาท จำนวน 2,088 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อนโยบายภาครัฐ ตามโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มรายย่อยวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นรายย่อยต่ำกว่า 15 ล้านบาท ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีลูกค้าจำนวนหนึ่งได้ชำระเงินคืนเงินกู้ และปิดบัญชีกับธนาคาร ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2556 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างเท่ากับ 96,276 ล้านบาท

ในส่วนของผลประกอบการ ณ ไตรมาส 1/2556 ธนาคารน่าจะมีกำไรสุทธิ 1,705 ล้านบาท ซึ่งธนาคารได้กันเงินสำรองไว้ส่วนหนึ่งจำนวน 1,355 ล้านบาท ทำให้ธนาคารมีกำไรสุทธิ จำนวน 350 ล้านบาท โดยเป็นกำไรที่เกิดจากการบริหารจัดการอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของธนาคารให้สูงขึ้นเป็นไปตามภาวะตลาด และบริหารต้นทุนเงินต่ำลง สูงกว่าไตรมาส 4/2555 ประมาณ 9%

สำหรับ BIS Ratio (อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง) ณ สิ้นปี 2555 อยู่ที่ระดับ 3.28% ซึ่งภายหลังจากธนาคารได้บริหารจัดการมีผลประกอบการกำไร และจากการผ่อนผันของกระทรวงการคลังเรื่องการกันสำรองและการจัดน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงลูกหนี้กลุ่ม PSA รวมถึงเมื่อต้นเดือนเมษายน 2556 ได้มีการเพิ่มทุนให้ธนาคาร 555 ล้านบาท ส่งผลให้ BIS Ratio ของธนาคารน่าจะอยู่ที่ระดับ 7.09% แต่เนื่องจาก ธพว.จะไม่ Reverse สำรองสินเชื่อ PSA เป็นกำไรโดยจะตั้งเป็นสำรองส่วนเกินแทนจึงทำให้ BIS Ratio ลดลงเหลือ 5.10%

อย่างไรก็ตาม ในส่วนแผนการดำเนินงานของธนาคารปี 2556 ได้วางไว้ 3 แนวทาง คือการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูทางด้านสินเชื่อ แก้ปัญหา NPL และการพัฒนาระบบ IT รองรับการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการภายในองค์กร เพิ่มจาก 2% ที่ตั้งไว้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อธนาคารกลับคืนมาเพื่อให้เป็นสถาบันการเงินหลักเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ต่อไป

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น