กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจับมือจังหวัดโทยามา ประเทศญี่ปุ่น ภายหลังที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้มีนโยบายในการส่งเสริมให้เอสเอ็มอี ออกไปลงทุนยังต่างประเทศมากขึ้น โดยกรอบของการเจรจามี 2 ประเด็น อันได้แก่ การเชื่อมโยงเครือข่ายเมื่อประเทศญี่ปุ่นเกิดภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติ และการสร้างความร่วมมือพัฒนาเอสเอ็มอีของไทยและญี่ปุ่น โดยมุ่งเป้าไปที่การผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมีโต๊ะญี่ปุ่นเป็นศูนย์กลางด้านการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในหลายจังหวัด คาดว่าสิ้นปี 2556 จะมีมูลค่าการลงทุนจากอุตสาหกรรมญี่ปุ่นมาลงทุนในไทยสูงถึง 3.1 แสนล้านบาท
นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือจังหวัดโทยามา ประเทศญี่ปุ่น เปิดการเจรจาการส่งเสริมอุตสาหกรรมระหว่าง 2 ประเทศ ภายหลังที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้มีนโยบายในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ออกไปลงทุนยังต่างประเทศมากขึ้น
สำหรับประเด็นในการหารือนั้น จังหวัดโทยามาได้เข้าหารือและเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมของจังหวัดเป็น 2 ประเด็น คือ 1. การเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น เมื่อประเทศญี่ปุ่นเกิดภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติไม่สามารถผลิตได้ จะมีการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเพื่อลดภาวะการสูญเสียผลผลิต โดยมุ่งเป้าไปที่การผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของจังหวัด 2. การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของไทยกับญี่ปุ่น เพื่อให้อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมของญี่ปุ่นเกิดการต่อยอดได้เพิ่มมากขึ้น และเพื่อเป็นการรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่จะให้ไทยเป็นประตูการค้าเชื่อมตลาดภูมิภาค ซึ่งสาเหตุที่ประเทศญี่ปุ่นได้เลือกประเทศไทยเป็นประเทศที่รองรับในการย้ายฐานการผลิต หรือการสร้างความร่วมมือในการลงทุนภาคอุตสาหกรรมนั้น เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเล็งเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพในทุกด้าน ทั้งในเรื่องของการผลิต แรงงาน และสถานที่
นายประเสริฐกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการที่รัฐบาลญี่ปุ่นมีนโยบายสนับสนุนให้เอสเอ็มอีในประเทศย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศเพื่อป้องกันการปิดตัวของเอสเอ็มอีที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และเพื่อรักษาเทคโนโลยีที่มีอยู่เฉพาะในแต่ละเอสเอ็มอี หรือที่เรียกว่า “Only One Technology” ให้ยังคงอยู่ต่อไป ซึ่งประเทศญี่ปุ่นมักประสบปัญหาในการผลิตอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ ส่งผลให้ตลาดหดตัวลง และต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น หลายจังหวัดในญี่ปุ่นจึงได้เข้ามาหารือกับทาง กสอ.มากขึ้นเพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยได้มีการหารือกันระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดโทยามา นายทาคะคาซึ อิชิอิ กับทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมในจังหวัดโทยามา ซึ่งจังหวัดโทยามาเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นจำนวนมาก หากมีการพัฒนาอุตสาหกรรมไปในแนวทางที่ถูกต้อง แนวโน้มของการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ย่อมดีตามไปด้วย
การสร้างโอกาสทางการตลาดระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นกำลังมีสัญญาณที่ดี ที่ทั้งผู้ประกอบการไทย และผู้ประกอบการญี่ปุ่นจะสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลการลงทุน อุตสาหกรรม แรงงาน ฐานการผลิต ฯลฯ ระหว่างกันได้ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหลักๆ หลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมที่ญี่ปุ่นสนใจจะเข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งที่ผ่านมากรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) มีโต๊ะญี่ปุ่นที่เป็นศูนย์กลางของการดำเนินงานด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอีให้มีศักยภาพมากขึ้น โดยเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐกับรัฐ และโต๊ะญี่ปุ่นของ กสอ.นี้ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้รับการติดต่อจากหลายจังหวัดในประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมกับกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น จังหวัดฟูกุโอกะ จังหวัดไซตามะ จังหวัดโอซากา จังหวัดยามานาชิ จังหวัดโทโทริ จังหวัดฮิโรชิมา จังหวัดชิมาเน เป็นต้น ซึ่งมูลค่าการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยในช่วง 2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 2.1 แสนล้านบาท โดยคาดว่าในช่วงปี 2556 จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 3.1 แสนล้านบาท” นายประเสริฐกล่าวสรุป
ด้าน นางศิริรัตน์ จิตต์เสรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับศูนย์ธุรกิจอุตสาหกรรม (BOC : Business Opportunity Center) ว่า เป็นหน่วยงานบริหารจัดการข้อมูลและปรึกษาแนะนำกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยและอุตสาหกรรมไทยมาโดยตลอด โดยเป็นศูนย์กลางของการให้ข้อมูลความรู้ด้านการบริหารการจัดการ ด้านพัฒนาบุคลากร ด้านการประหยัดพลังงาน ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ด้านวิศวกรรม การเพิ่มโอกาสทางการตลาด ตลอดจนการสนับสนุนการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นได้มีนโยบายในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ออกไปลงทุนยังต่างประเทศมากขึ้น ประเทศญี่ปุ่นเองมองว่าประเทศไทยนั้นสามารถเป็นฐานกำลังการผลิตที่ดี จึงมีทิศทางของการขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยมากขึ้น จึงส่งผลให้ประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นสามารถกลายเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญต่อกันได้ในอนาคตอันใกล้
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศูนย์ธุรกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) สามารถสอบถามได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2202-4426-7