สถาบันอาหาร ยันผลิตภัณฑ์อาหารนมของไทยมีความปลอดภัยระดับหนึ่ง หลังหลายหน่วยงานเร่งตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นมที่นำเข้าจากจีนอย่างเข้มงวด ชี้วิกฤตเมลามีนกระทบยอดขายนมกว่า 20% มูลค่าทะลุ 8,000 ล้านบาท เผยสถาบันฯ ช่วยเหลือเบื้องต้นให้ข้อมูลวิชาการและเข้าตรวจสอบสารเมลามีนในโรงงาน ในมาตรฐานเทียบเท่าอย. เชื่อลดความกังวลผู้บริโภคได้ แนะไทยควรใช้โอกาสนี้ขยายตลาดอาหารไทย ยึดตลาดจากจีนที่เคยนำเข้าอย่างประเทศญี่ปุ่น
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหร เปิดเผยถึง สถานการณ์สารเมลามีนที่ปนเปื้อนมากับอาหารของไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นม และผลิตภัณฑ์ที่ใช้นมเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ว่า ขณะนี้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในการบริโภคอาหารนมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายผลิตภัณฑ์นมของผู้ประกอบการลดลงประมาณ 20-30% หรือประมาณ 6,000-9,000 ล้านบาท และผู้ผลิตอาหารนมที่มีสารปนเปื้อนสารเมลามีนด้วย
“ขณะนี้ทางสถาบันอาหารเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมอาหารนมของไทยมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคระดับหนึ่ง เพราะจากตัวเลขที่ไทยมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์นมจากประเทศจีนไม่มากนัก เป็นอันดับที่ 5 โดยมีสัดส่วนการนำเข้าเพียง 4.14% เท่านั้น ในขณะที่ไทยนำเข้าผลิตภัณฑ์นมแหล่งใหญ่อยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ 37.70% สหภาพยุโรป 21.63% และสหรัฐอเมริกา 13.77% โดยคดว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์นมของไทยจากจีนน่าจะหยุดชะงัก เพราะไทยขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยผลิตภัณฑ์นมจากจีน ทั้งที่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาไทยจะต้องนำเข้าวัตถุดิบนมผงในปริมาณ ที่สูงกว่าไตรมาสอื่นๆ เพื่อนำมาผลิตขนมปัง คุกกี้ และเบเกอรี่ต่างๆ ในช่วงคริสมาสต์และปีใหม่” ผอ.สถาบันอาหารกล่าว
ทั้งนี้ในส่วนของสถาบันอาหารได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมในเบื้องต้น คือการใช้ข้อมูลด้านวิชาการ การตรวจวิเคราะห์สารปนเปื้อน ซึ่งทางสถาบันอาหารได้ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และการเข้าไปตรวจสอบวัตถุดิบ ณ หน้างาน หรือโรงงาน เพื่อตรวจดูวัตถุดิบจริง รวมถึงการตรวจสอบเอกสารที่สั่งซื้อจากโรงงานโดยตรง ซึ่งมาตรฐานการตรวจสอบทางสถาบันฯ ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยใช้มาตรฐานเดียวกันในกาตรวจสอบ ทำให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคมีความเชื่อถือในมาตรฐานการตรวจสอบมากขึ้น โดยราคาตรวจสอบสารปนเปื้อนเมลามีน หากตรวจในห้องแล็บอยู่ที่ 1,400-3,400 บาท/ผลิตภัณฑ์ ในขณะที่การตรวจในโรงงานอยู่ที่ 10,000-15,000 บาท/ผลิตภัณฑ์
ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว ประเทศไทยควรใช้ประโยชน์จากวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส โดยการขยายตลาดสินค้าอาหารไปยังตลาดที่เคยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นที่คำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้ามาก และมีปริมาณการนำเข้าสินค้าอาหารสูงถึง 60% ของปริมาณความต้องการบริโภคในประเทศทั้งหมด และประเทศจีนถือว่าเป็นแหล่งผลิตสินค้าอาหารป้อนตลาดญี่ปุ่นเป็นหลัก ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยควรเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของการย้ายแหล่งผลิตสินค้าอาหารป้อนตลาดญี่ปุ่น รวมถึงการเจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยใช้จุดแข็งด้านการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยของไทยเป็นตัวนำ
