กว่าจะมายืนแถวหน้าในฐานะผู้ให้บริการนำส่งดาวเทียม “เอเรียนสเปซ” ต้องเคร่งครัดในทุกขั้นตอนของปล่อยจรวด เพราะความผิดพลาดหมายถึงเวลาและโอกาสที่ลูกค้าต้องเสียไปอีก 2-3 ปี แต่ภารกิจแบบ “พลาดไม่ได้” นี้ไม่ได้อาศัยเทคโนโลยีล้ำๆ แต่ใช้ความใส่ใจในทุกหลายละเอียด
เอเรียนสเปซ (Arianespace) เพิ่งเผยความสำเร็จในการปล่อยจรวดครั้งที่ 250 จากฐานปล่อยจรวดที่ศูนย์อวกาศเกียนา (Guiana) ในเมืองกูรู เฟรนซ์เกียนา เมื่อวันที่ 24 พ.ค.59 ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งครั้งนั้นเป็นการปล่อยจรวดโซยูซ (Soyuz) เพื่อนำส่งดาวเทียมกาลิเลโอ (Galileo) ดาวเทียมระบุพิกัดของยุโรปภายใต้สัญญากับองค์การอวกาศยุโรป (ESA) ขึ้นสู่วงโคจรอีก 2 ดวง
ในฐานะผู้ให้บริการปล่อยดาวเทียมในเชิงพาณิชย์ที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2523 เอเรียนสเปซนำส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรมากกว่า 500 ดวง ทั้งดาวเทียมสำรวจ ดาวเทียมสื่อสาร ดาวเทียมทหาร โดยมีลูกค้าภาครัฐและเอกชน 120 ราย ในจำนวนนั้นองค์การอวกาศยุโรปถือเป็นลูกค้าภาครัฐรายใหญ่
นอกจากดาวเทียมกาลิเลโอแล้วเอเรียนสเปซยังมีกำหนดส่งชิ้นส่วนอวกาศอื่นๆ ให้แก่อีซา รวมถึงกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์เวบบ์ (James Webb Space Telescope) อันเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างอีซา องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และองค์การอวกาศแคนาดา (Canadian Space Agency) เพื่อส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศขึ้นไปทดแทนกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope)
ไม่เพียงลูกค้าซึ่งเป็นองค์การอวกาศระดับโลกแล้ว ลูกค้าในเอเชีย-แปซิฟิคนับว่ามีความสำคัญต่อเอเรียนสเปซ โดยมีส่วนแบ่งตลาดดาวเทียมเชิงพาณิชย์ 60% คิดเป็น 25% ของธุรกิจรวมทั่วโลกของบริษัท
นับแต่ปี 2524 ที่ได้ปล่อยดาวเทียมให้แก่ลูกค้ารายแรกในเอเชียคือองค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย เอเรียนสเปซได้ปล่อยดาวเทียมให้แก่ลูกค้าในเอเชีย-แปซิฟิคแล้ว 16 รายใน 11 ประเทศ รวม 73 ดวง
ส่วนในปี 2559 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 20 ปีการเปิดสำนักงานภูมิภาคในสิงคโปร์ เอเรียนสเปซมีกำหนดปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรอีก 6 ดวง ให้แก่ลูกค้า 5 รายในเอเชีย-แปซิฟิก ได้แก่ เทเลคอมอินโดนีเซีย พีที แบงค์ รักยัต อินโดนีเซีย องค์การวิจัยอวกาศแห่งอินเดีย เครือข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (เอ็นบีเอ็น) ในออสเตรเลีย และสกาย เพอร์เฟ็ค เจแซท ในญี่ปุ่น
ฌัค เบรอตง (Jacques Breton) รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ ของเอเรียนสเปซ เผยว่าปี 2558 ที่ผ่านมาถือเป็นปีประวัติการณ์ของบริษัท จากการทำ 12 ภารกิจเพื่อปล่อยดาวเทียม 21 ดวงขึ้นจากศูนย์อวกาศเกียน่า ในเฟรนซ์เกียนา ให้แก่ลูกค้า 14 ราย และมียอดคำสั่งซื้อมากถึง 2.5 พันล้านยูโร
สำหรับฐานปล่อยจรวดในศูนย์อวกาศเกียน่านั้น เบรอตงระบุว่าเป็นทำเลที่ดีที่สุดในการปล่อยจรวด เพราะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรจึงเหมาะแก่การนำส่งจรวดขึ้นสู่วงโคจร อีกทั้งยังเป็นเขตปลอดเฮอร์ริเคนและแผ่นดินไหว นอกจากนี้ยังปลอดบ้านเรือนที่จะได้รับความเสี่ยงจากชิ้นส่วนจรวดที่แยกตัวออกมาระหว่างนำส่งดาวเทียมด้วย
ปัจจุบันจรวดที่เอเรียนสเปซใช้นำส่งดาวเทียมมีทั้งหมด 3 รุ่น คือ เอเรียน 5 (Ariane 5) โซยุช (Soyuz) และเวกา (Vega) โดยเอเรียน 5 เป็นจรวดรุ่นใหญ่สุด สามารถบรรทุกยานอวกาศได้ทุกประเภท ตั้งแต่น้ำหนักน้อยสุดต่ำกว่า 1,000 กิโลกรัม ไปจนถึง 20,000 กิโลกรัม และน้ำส่งดาวเทียมได้พร้อมกันหลายๆ ดวง
นับแต่ปี 2545 เอเรียน 5 นำส่งดาวเทียมสู่วงโคจรโดยไม่พลาดต่อเนื่อง 71 ครั้ง ความสำเร็จดังกล่าว เบรอตงเผยแก่ทีมข่าวผู้จัดการวิทยาศาสตร์และสื่อมวลชนในอาเซียนระหว่างฉลอง 20 ปีการตั้งสำนักงานภูมิภาคในสิงคโปร์ว่า เป็นผลจากการตรวจสอบทุกขั้นตอนโดยไม่ปล่อยผ่าน
“หากมีบางอย่างที่ไม่มั่นใจก็จะเปลี่ยนทันที เพราะความผิดพลาดครั้งหนึ่งหมายถึงลูกค้าต้องเสียโอกาสและต้องรอไปอีก 2-3 ปีเพื่อส่งดาวเทียมดวงใหม่ และเมื่อส่งดาวเทียมไปแล้วเราก็จะนำข้อมูลนำส่งมาตรวจสอบว่ามีตัวแปรใดบางที่ผิดปกติ เพื่อนำไปแก้ไขสำหรับการนำส่งจรวดครั้งต่อไป แน่นอนว่าผลจากการทำงานดังกล่าวนำมาซึ่งต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แม้เราไม่ใช่ผู้ให้บริการที่ราคาถูก แต่ก็เชื่อถือได้” เบรอตงระบุระหว่างให้สัมภาษณ์
รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ ของเอเรียนสเปซ กล่าวอีกว่า ในการตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการนำส่งจรวดไม่ใช่เรื่องง่าย ลูกค้าเองต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผู้ให้บริการราคาถูกหรือผู้ให้บริการที่ไว้ใจได้ เพื่อส่งดาวเทียมที่มีมูลค่าสูง
เอเรียนสเปซเริ่มให้บริการส่งดาวเทียมเชิงพาณิชย์เมื่อปี 2523 ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้เบรอตงกล่าวว่า เทคโนโลยีนำส่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแบบหน้ามือเป็นหลังมือ มีเพียงการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยปัจจุบันลูกค้าไม่ได้เน้นเรื่องเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคาที่ถูกลงมากกว่า
