แสงแดดยามเที่ยงวันที่แผดเผาผิวหนังแลดูแล้วจะอ่อนแรงกว่าเวลาเดียวกันของเมื่อวันก่อน แต่สภาพอากาศก็ยังคงอุณหภูมิที่เรียกได้ว่าร้อนระอุมากกว่า 30 องศาเซลเซียส ถึงแม้เราจะอยู่ริมป่าดิบแล้งใกล้ห้วยและสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเกือบจะ 1,000 เมตรแล้วก็ตาม อีกทั้งปีนี้เป็นปีที่แล้งเสียจนน้ำในลำห้วยหลายสายนั้นขาดช่วงแห้งเหือด วันนั้นกำหนดงานที่มีเสร็จเรียบร้อยเร็วกว่าแผนที่วางเอาไว้ เราจึงตัดสินใจกลับไปรับประทานอาหารกลางวันที่เรือนครัวของสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ผมเข้าไปทางหลังครัวก็พบพี่ ๆ เจ้าหน้าที่กำลังลงช้อนจัดการอาหารมื้อกลางวันกันอยู่
“น้ำจากบ่อริมห้วยที่สูบขึ้นมาใช้สูบไม่ได้แล้วครับ น้ำเหลือน้อย ช้างก็ลงไปใช้ ในบ่อเป็นขี้โคลนไปหมดแล้ว” ข้อมูลจากพี่อ้วน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ผู้รับบทพ่อครัวหลักมือสมุนไพร
“ถึงจะดูดเอาขึ้นมาใส่แท้งค์ได้ แต่ใครจะใช้ ท่อมันจะตันหมดอีกอย่าง” อ้ายสัก เจ้าหน้าที่ช่างเครื่องยนต์และมือซ่อมประจำเขต ฯ เสริม
ความแห้งแล้งที่รุนแรงมากที่สุดเท่าที่เคยประสบกันมาเป็นประเด็นสนทนาในวงรับประทานอาหารกลางวันตลอดจนกระทั่งต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองที่ยังคั่งค้างอยู่ ขนาดคนยังอยู่ยาก สัตว์ป่าจะลำบากขนาดไหน คงเป็นวลีสั้น ๆ ที่สรุปใจความออกมาได้ตรงที่สุด ในยามบ่ายถึงแม้จะไม่ได้งานตามกำหนดที่วางแผนเอาไว้ แต่ก็มีเรื่องอื่นให้น่ายินดีมากกว่าเป็นอย่างยิ่ง ก้อนเมฆดำทะมึนบดบังแสงแดด เสียงครืนลั่นจากท้องฟ้ากลบเสียงนกร้อง ลมพาเอาความชื้นส่งกลิ่นอบอวลแทนที่ฝุ่นดินที่แห้งผาก สิ่งที่เราหวังเฝ้ารอมานานสุดท้ายก็ได้กลับมาพบกัน "ฝน”
"ตกมาหนัก ๆ จะได้มีน้ำใช้กันเสียที" รุ่นพี่ที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพูดขึ้น
“ต้องตกอย่างน้อยประมาณไหนน้ำถึงจะเริ่มมาครับพี่” ผมเอ่ยถาม
“ตกหนัก ๆ ซักสองสามวันก็มาแล้ว ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ จะได้สบายกันหน่อย ทั้งคนทั้งสัตว์” รุ่นพี่ผมเอ่ยตอบกลับและมองไปยังฝนที่ไหลลงมาตามร่องกระเบื้องของศาลาที่นั่งหลบพัก มีเสียงแว่วดังมาจากทางด้านหลังและดังขึ้นเรื่อย ๆ จนพอจะรู้ว่าเป็นเสียงควบวิ่งแต่ของตัวอะไรผมจึงหันไปมอง เลียงผาตัวหนึ่งกำลังควบเข้ามาอย่างเร็ว เร็วที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นและก็กระโจนข้ามม้านั่งเข้ามากลางศาลาที่พัก วงสนทนากลางศาลาก็แตกกระเจิงไปคนละทิศทางตามแต่จะหลีกหลบ
“ทำไมวันนี้มันคึกขนาดนี้เนี่ย ตื่นฝนเหรอเจ้าหมอก” รุ่นพี่อีกคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ฝนแรกของมันเลย มาอยู่ตั้งแต่พฤศจิกายนปีก่อน นี่ก็เป็นฝนแบบหนัก ๆ แรกที่มันเคยเจอ ก็น่าจะตื่นแหล่ะ อายุมันก็ยังไม่ถึงขวบดีเลยเนี่ย” รุ่นพี่ผู้ช่วยเขต ฯ เอ่ยตอบ
ระหว่างนั้นเจ้าหมอกยังคงเดินสลับกระโดดวิ่งไป ๆ มา ๆ ก้ม ๆ เงย ๆ เข้า ๆ ออก ๆ ศาลาพร้อมกับสะบัดตัวไล่น้ำออกจากขนจนเปียกไปทั่ว ฝนที่ตกแรงขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าหมอกก็ดูเหมือนจะตื่นเต้นมากกว่าเดิม มันเริ่มออกวิ่งไกลไปจากศาลา วิ่งขึ้นบนหน้าบ้านพัก วิ่งเข้าไปในโรงรถ วิ่งเข้าไปหลังครัว วิ่งไปเหยียบกะละมังพลาสติกปริแตกและมันก็ยังคงออกวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ
“ผมเห็นมันวิ่งแล้วเหนื่อยแทนเลยครับ” ผมเอ่ยปาก
“วันนี้มันควบเต็มสปีดเลย เพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน” รุ่นพี่ผู้ช่วย ฯ ตอบกลับ
เจ้าหมอกวิ่งออกมาจากหลังบ้านพักที่มันหายลับไปเมื่อซักครู่ มาหยุดหลบฝนอยู่ริมศาลาที่มันกระโดดเข้ามาครั้งแรก เงยหน้ามองสายฝนและเริ่มแลบลิ้นตวัดกินน้ำที่ไหลลงมาจากกระเบื้องหลังคา ผมมองภาพเจ้าหมอกตื่นเต้นวิ่งเล่นสายฝนจนกระทั่งเหนื่อยและพักหลบกินน้ำฝน ถ้าหมอกยังอยู่กับแม่ที่ให้กำเนิดมัน มันจะตื่นเต้นจนวิ่งไปทั่วอย่างนี้ไหม อาจจะถูกแม่ของมันปรามและสอนให้รู้จัดสายฝนจนนิ่งสงบมากกว่านี้ แล้วเจ้าหมอกจะเป็นเช่นไร แม่จะสอนมันเรื่องต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตอยู่อย่างไร อะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้ จะหาแหล่งน้ำได้จากไหน จะหลบพักได้ที่ชะง่อนผาใด จะหลบหลีกเร้นหนีตัวจากผู้ล่าตามธรรมชาติเช่นไร แต่มันก็คงเป็นเพียงความคิดของผมคนเดียวที่ไม่มีทางเป็นจริงไปได้สำหรับเลียงผากำพร้าเพศผู้ตัวนี้ แต่ถึงกระนั้นพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ก็ต้องประคับประคองพร้อมกับระมัดเนื้อระวังตัวกันไป เจ้าหมอกนั้นโตขึ้นทุกวัน ๆ ขนาดตัวที่ใหญ่ เรี่ยวแรงที่เพิ่มมากแค่เพียงวิ่งชนก็อาจจะเกิดการบาดเจ็บหามเข้าโรงหมอกันได้ ไหนจะเขาแหลมสองอันบนกระโหลกของมันอีกเล่า
น้ำเย็น ๆ ที่กระเซ็นจากกระสะบัดขนของเจ้าหมอกทำให้ต้องหลบ ผมมองไปยังเลียงผากำพร้าตัวนี้สลับกับสายฝน ความคิดของผมเริ่มทำงานอีกครั้ง ฝนแรกของผมเป็นอย่างไร ยากจะหาคำตอบ ความทรงจำมันเลือนจางจนไม่มีเค้าลางอะไรให้เกาะเกี่ยว น่าเศร้าใจนัก
ความมืดเริ่มปรากฏตัวเมื่อแสงแดดหลบพักลับยอดไม้ ความรุนแรงของสายฝนลดลงแล้วแต่ยังคงพร่างพรมไม่ขาดสาย อึ่งกรายลายเลอะดวงตาโตสีส้มสดตัวผู้กำลังส่งเสียงร้องแกว๊กกว๊ากเรียกหาคู่ตัวเมียระงมเรี่ยแนวป่าใกล้ลำธาร อุณหภูมิที่เย็นลงเรื่อย ๆ ทำให้เราตัดสินใจแยกย้ายสลายวงสนทนาเพื่อเตรียมตัวสู่มื้ออาหารเย็น ร่มถูกกางออก เสื้อกันฝนถูกสวมใส่ แต่บ้างก็ไม่สนใจความฉ่ำเย็นเปียกปอนของเม็ดฝนที่ตกกระทบตัว
ระหว่างทางผมฉุกคิด ฝนนั้นจะยังคงตกอยู่เสมอเพียงแต่เวลาและฤดูกาล แต่เจ้าล่ะหมอกเอ๋ย จะล่องลอยไปสู่แห่งหนใด
ใครจะรู้...คงไม่มี
เกี่ยวกับผู้เขียน
จองื้อที
แต่เดิมเป็นเด็กต่างจังหวัดจากภาคตะวันออก มุ่งมั่นเข้ามาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยความสนใจส่วนตัวและถูกชักชวน จึงเลือกเข้าศึกษาในภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ สาขาวิทยาศาสตร์สัตว์ป่าและทุ่งหญ้า ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้มีโอกาสช่วยเก็บข้อมูลงานวิจัยสัตว์ป่าในหลายพื้นที่ หลังจากสำเร็จการศึกษาได้รับคำแนะนำให้ไปศึกษาต่อยังสถาบันอื่น จึงได้เข้ามาศึกษาต่อ ณ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในระดับปริญญาโทต่อมาถึงในระดับปริญญาเอก และยังคงมีสถานภาพเป็นนิสิตอยู่ในปัจจุบันขณะ
"เราพยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย เพื่อที่สุดท้ายแล้วเราจะได้รู้ว่า แท้จริงแล้งเราไม่ได้รู้อะไรเลย"
พบกับบทความ “จองื้อที” ได้ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน