ทุกวันนี้ “อากาศยานไร้นักบิน” เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น อย่างน้อยการส่งโดรนเข้าไปบันทึกภาพในสถานที่อันตราย อย่างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ประสบอุบัติเหตุ หรือกองขยะที่ถูกไฟไหม้จนก่อสารพิษมากก็ช่วยเจ้าหน้าที่ในการวางแผนกู้ภัยได้มาก มาดูกันว่าเทคโนโลยีนี้ในเมืองไทยก้าวหน้าไปถึงขึ้นไหนแล้ว
กลุ่มผู้วิจัยและพัฒนา รวมถึงกลุ่มผู้ใช้งานและกลุ่มผู้บริหารจัดการด้านอากาศยานไร้นักบิน (UAV) เพิ่งมาร่วมตัวกันภายในงานสัมมนาประชาคมเครือข่ายด้านอากาศยานไร้นักบิน (UAV Community) ซึ่ง สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทป. และ กองทัพอากาศ ร่วมกันจดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกำหนดทิศทางการวิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้นักบินร่วมกัน
พล.อ.อ.พงศธร บัวทรัพย์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันอากาศยานไร้คนขับไม่ได้ใช้เฉพาะทางการรบเท่านั้น แต่ยังใช้ประโยชน์ได้หลากหลายทำให้ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัย และนำมาใชั้ป็นจำนวนมากทั้งหน่วยงานทางทหารและสถาบันการศึกษา การจัดตั้งประชาคมเครือข่ายด้านอากาศยานไร้นักบิน จึงเป็นการรวมความรู้เกี่ยวกับอากาศยานไร้นักบินจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน และทราบว่ามีการพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาเป็นไปได้เร็ว และประหยัดทรัพยากร อีกทั้งควบคุมไม่ให้ใช้งานไปในทางที่ผิด
ในส่วนของ พล.อ.สมพงศ์ มุกดาสกุล ผู้อำนวยการ สทป.เผยว่า เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับมีใช้มานานแล้วในทางทหาร แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมามีความตื่นตัวจากทางภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา ที่นำมาใช้ในการสำรวจวิจัยภัยพิบัติต่างๆ การจราจร หรือการถ่ายทำละครต่างๆ ทำให้ประชาชนรู้จักอากาศยานไร้คนขับมากขึ้น การจัดสัมมนาต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ทำให้ทราบว่าวงการอากาศยานไร้คนขับในประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และใช้ประโยชน์ที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม อาทิ ทางทหารใช้ลาดตระเวน สำรวจพื้นที่ชายแดน การติดตามข้อมูลต่างๆ และภารกิจที่เป็นความลับทางราชการอีกมาก ทางภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาก็นำไปใช้ในการศึกษาวิจัย การสำรวจทรัพยากร การสำรวจภัยพิบัติในพื้นที่ๆ ยากแก่การเข้าไปของเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงการถ่ายทำภาพยนตร์
"หากเทียบเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับในประเทศเรากับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว เราจัดว่าอยู่ในแนวหน้า ทั้งทางเทคโนโลยี และการจัดประชุมสัมนาที่มีขึ้นบ่อยครั้ง แต่หากเทียบกับทั่วโลกเราอยู่ในสถานภาพประเทศที่เพิ่งเริ่มพัฒนา เพราะเราใช้อยู่ในวงจำกัดเพียงแค่ทางทหารและการวิจัย ในขณะที่ประเทศมหาอำนาจเริ่มใช้ทางการพาณิชย์บ้างแล้ว แต่เรายังไม่ได้คิดถึงตรงนั้น และด้วยความที่ประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้นนี้เอง ทำให้ทาง สปท. กองทัพอากาศและทุกภาคส่วนจำเป็นต้องศึกษาวิจัย และพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถให้หนักยิ่งขึ้น” พล.อ.สมพงศ์กล่าว
พล.อ.สมพงศ์ เชื่อว่าหลังจากมีประชาคมเครือข่ายด้านอากาศยานไร้นักบินแล้วยิ่งทำให้การวิจัยเดินหน้าไปเร็วมากขึ้น เพราะมีการนำความรู้มาบูรณาการซึ่งกันและกัน โดยในอนาคตสทป.จะพยายามกระตุ้นให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการออกแบบ การประดิษฐ์และการใช้พลังงานที่จะต้องมีการวิจัยอย่างรัดกุม เพื่อให้อากาศยานไร้คนขับของเรามีความทนทานปลอดภัยและมีสมรรถนะที่สูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการทหาร
พร้อมกันนี้ ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ยังได้สำรวจผลงานวิจัยและการพัฒนาอากาศยานไร้นักบินบางส่วนมานำเสนอ เริ่มที่อากาศยานไร้นักบินไทเกอร์ชาร์ค (Tiger-shark) ผลงานการวิจัยและพัฒนาจากศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอากาศกองทัพอากาศ อากาศยานไร้นักบินของทหารอากาศที่ใช้ในภารกิจลาดตระเวนเป็นหลัก สามารถถ่ายภาพได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ที่ในอนาคตจะมีการพัฒนาให้เป็นอากาศยานฝนหลวงและอากาศปฏิบัติการรบทางทหาร
ต่อกันที่อากาศยานไร้นักบินที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์รุ่น Mini UAV จากหน่วยข่าวกรองทางทหารที่ใช้ในการลาดตระเวนและสำรวจเป็นหลัก สามารถบันทึกภาพได้เป็นทั้งแบบวิดีโอถ่ายทอดสด และภาพนิ่งทั้งกลางวันและกลางคืน บินได้สูงถึง 6,000 ฟุตในรัศมี 20 กิโลเมตร ซึ่งในขณะนี้หน่วยข่าวกรองทหารอากาศกำลังมีโครงการพัฒนาเพิ่มอีกในหลายรุ่น เพื่อให้สามารถบินได้นานขึ้นและไกลมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของสถาบันการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีกับเครื่อง LOFT-Extreme ปีก 3 เมตรที่ใช้ในการสำรวจทางการเกษตร ที่ทาง ผศ.ดร.อรรณพ เรืองวิเศษ อาจารย์ประจำห้องวิจัยเทคโนโลยีการบิน ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล ได้เผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า ทางมหาวิทยาลัยได้พัฒนาอากาศยานไร้คนขับนี้มาอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ก่อนเข้าร่วมประชาคมเครือข่ายด้านอากาศยานไร้นักบิน โดยก่อนหน้านี้ใช้ในการวิจัยร่วมกับสถาบันวิจัยมันสำปะหลัง การสำรวจภัยพิบัติน้ำท่วม และกำลังมีโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการใช้อากาศยานไร้นักบินในการปล่อยเมล็ดพันธุ์และกล้าไม้เพื่อปลูกป่า นอกจากนี้ยังมีเครื่องมิลติโรดตอร์ (Multi-Rotor) อากาศยานที่ขึ้นลงทางแนวดิ่งที่ใช้ในการสำรวจวิจัยแปลงเกษตรที่ จ.น่านอีกด้วย
เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือที่นำควอดโรเตอร์ (QuadRotor) อากาศยาน4ใบพัดที่เรามักคุ้นเคยกันในชื่อว่า “โดรน” มาจัดแสดงด้วย โดย นายพลาวัตร ประทุมวงศ์ นักศึกษาปริญญาโท กล่าวว่า ควอดโรเตอร์นี้เป็นอากาศยานที่ขึ้นลงทางแนวดิ่ง ใช้ในการถ่ายภาพมุมสูงแทนที่เครน ปัจจุบันใช้ประโยชน์ด้านการสำรวจ การเข้าทำข่าวในพื้นที่ที่ยากแก่การเข้าถึง และการถ่ายทำภาพยนตร์ ควอดโรเตอร์บินได้นานประมาณ 5-20 นาทีโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และเกิดขึ้นจากการพัฒนาของนักศึกษาปริญญาโทและเอกที่ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องวิศวกรรมการบิน โดยในอนาคตมีโครงการที่จะพัฒนาควอดโรเตอร์ให้สามารถบินประคองตัวเองต่อไปได้ โดยไม่ตกทันทีหากเกิดการชำรุดของใบพัดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทั้งหมดกับตัวยานที่มีราคาค่อนข้างสูง
มาถึงส่วนสำคัญของการบังคับการอากาศยานไร้นักบินอย่าง ชุดควบคุมภาคพื้นหรือ Ground Control Station จากความร่วมมือของกรมยุทธการทหารอากาศ กองทัพอากาศและบริษัท เจโดรน จำกัด ที่เป็นอุปกรณ์รับสัญญาณและส่งสัญญาณ จากอากาศยานที่ครอบคลุมทุกรูปแบบสัญญาณไปยังเครือข่าย สามารถใช้ได้กับอากาศยานทุกแบบทั้งแบบมีนักบินหรือไม่มีนักบินก็ได้ โดยจะรับสัญญาณจากอากาศยานแล้วแสดงผลทางหน้าจอเแบบถ่ายทอดสดที่สถานีภาคพื้น และส่งต่อไปยังสถานีเครือข่ายได้ทันที เป็นการพัฒนาขึ้นเพื่อความสะดวกในการลงพื้นที่และรวมคุณสมบัติที่จำเป็นของสถานีภาคพื้นไว้ในเครื่องมือชุดเดียว
ผลงานชิ้นสุดท้ายที่ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์นำมาให้ชมคือ เครื่องมือจำลองการบิน (Simulation) หรือ ซิม ที่ น.ต.ธีระพงษ์ สนธยามาลย์ นักวิจัย สทป. อธิบายว่า คือ ระบบที่นำข้อมูลพื้นที่และอากาศยานมาประมวลผลเพื่อจำลองบรรยากาศให้เสมือนบรรยากาศจริง เป็นเครื่องมือช่วยฝึกนักบินก่อนทำการบินจริงและใช้ทดสอบแผนการบิน เครื่องมือประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนจำลองภายนอก (External Simulation) ที่ใช้ในการบังคับเครื่องเวลาจะขึ้นลง และส่วนจำลองภายใน (Internal Simulation) ที่เป็นการจำลองการขับเคลื่อนเมื่ออากาศยานขึ้นสู่ฟากฟ้าแล้ว
*******************************
*******************************