สกว. - นักวิชาการชี้คลื่นกระหน่ำอันดามันตอนนี้คือคลื่นจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ไม่ใช่คลื่นสึนามิ แนะประชาชนจึงควรศึกษาเส้นทางหนีภัยและซักซ้อมการหลบภัยในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับเส้นทางหลบภัย พร้อมแนะ 9 แนวทางปฏิบัติสร้างอาคารเสี่ยงภัย
จากเหตุการณ์คลื่นลมแรงในบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางครั้งคลื่นสูงถึง 5 เมตร ได้ทำลายกำแพงกันน้ำตามแนวชายฝั่ง ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะมีเหตุสึนามิซ้ำสองหรือไม่ ผนวกกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ที่ อ. พาน จ.เชียงราย ที่ผ่านมา ทำให้เกิดมีข่าวแพร่กระจายว่าจะเกิดสึนามิอีกครั้งในไม่ช้านี้ ส่งให้สาธารณชนเกิดความตระหนก
รศ.ดร.อมร พิมานมาศ รองเลขาธิการสภาวิศวกร และอาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า คลื่นลมดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งมีกำลังแรงในช่วงเวลานี้ ทำให้เกิดคลื่นลมแรงและกระทบต่อชายฝั่งเท่านั้น แต่ไม่มีมวลน้ำไหลทะลักเข้ามาในพื้นดินดังเช่นสึนามิ
“สึนามิเกิดจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเลหรือมหาสมุทรเท่านั้น ดังนั้น แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในภาคเหนือหรือในพม่า ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวบนบก จึงไม่ทำให้เกิดสึนามิในทะเลได้ และแผ่นดินไหวในทะเลจะต้องมีขนาดใหญ่เกิน 7 ริกเตอร์ขึ้นไปจึงจะทำให้เกิดสึนามิได้ แต่เป็นเพียงสึนามิขนาดเล็กที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย หากเป็นสึนามิที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชายฝั่ง ทรัพย์สินและชีวิตของประชาชนได้นั้น ต้องมีขนาดเกิน 8 ริกเตอร์ขึ้นไป” รศ.ดร.อมร ระบุ
นักวิจัยโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวเพิ่มเติมว่า แผ่นดินไหวที่จะทำให้เกิดสึนามิได้นั้นต้องเป็นแผ่นดินไหวที่เกิดจากการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก แล้วทำให้พื้นทะเลยกตัวขึ้นในแนวดิ่ง ผลักให้มวลน้ำมหาศาลซัดเข้าหาชายฝั่ง ตัวอย่างดังเหตุการณ์ แผ่นดินไหวขนาด 9.1 ริกเตอร์ ในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อปี 2547 ส่วนแผ่นดินไหวในทะเลซึ่งเกิดขึ้นจากการเลื่อนไถลของรอยเลื่อนหรือเปลือกโลกในแนวราบจะไม่ทำให้เกิดสึนามิ
“สำหรับประเทศไทยบริเวณที่เสี่ยงต่อสึนามิ คือ ชายฝั่งทะเลอันดามัน เนื่องจากอยู่ใกล้แนวที่แผ่นเปลือกโลกมุดตัวเข้าหากันในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลอันดามันไปเพียง 500-1000 กิโลเมตร เท่านั้น จังหวัดที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ได้แก่ ภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง สตูล และหมู่เกาะในทะเลอันดามัน เช่น หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน เป็นต้น เพราะแนวมุดตัวของเปลือกโลกยังมีพลังอยู่ จึงต้องระวังอาจเกิดสึนามิซ้ำได้อีก” รศ.ดร.อมรกล่าว
ส่วนบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยมีความเสี่ยงจากสึนามิน้อยมาก เนื่องจากไม่พบรอยเลื่อนขนาดใหญ่ อยู่ห่างไกลจากแนววงแหวนไฟแปซิฟิกหลายพันกิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยมีความเสี่ยงต่อคลื่นพายุหมุนยกซัดฝั่ง (สตอร์มเสิร์จ) ซึ่งเกิดจากลมพายุ ซึ่งไม่ใช่คลื่นสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหว ทั้งนี้ แผ่นดินไหวไม่สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้เหมือนสึนามิ โดยหากเกิดสึนามิขึ้นในมหาสมุทรอินเดีย จะมีเวลาแจ้งเตือนภัยประมาณ 1-3 ชั่วโมง ขึ้นกับจุดที่เกิดเหตุในทะเล
“ดังนั้น ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งจัดเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยสึนามิจะต้องให้ความใส่ใจกับการแจ้งเตือนสึนามิจากทางการอยู่ตลอด และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นต้องรีบถอยห่างจากชายฝั่งทันที แล้วมุ่งสู่ที่ปลอดภัยซึ่งหมายถึงที่สูงซึ่งน้ำท่วมไปไม่ถึง ประชาชนจึงควรศึกษาเส้นทางหนีภัยและซักซ้อมการหลบภัยในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับเส้นทางหลบภัย”
สำหรับการก่อสร้างอาคารในเขตเสี่ยงภัยสึนามิ จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยมีแนวทางปฏิบัติประกอบด้วย
1.หลีกเลี่ยงการก่อสร้างอาคารในเขตพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายฝั่งในระยะ 3-4 กิโลเมตร หากจำเป็นต้องก่อสร้างควรก่อสร้างอาคารคอนกรีตขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแรง
2.ควรเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ควรก่อสร้างอาคารไม้หรือโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบาเพราะอาจจะถูกคลื่นพัดพาลอยไปตามกระแสน้ำได้ง่าย
3.ฐานรากควรเป็นเสาเข็ม หรือฐานรากแผ่ที่ฝังในชั้นดินที่แข็งแรง เพื่อให้อาคารยึดกับฐานรากอย่างมั่นคงไม่ลอยไปตามกระแสน้ำ หากเป็นฐานรากแผ่จะต้องฝังฐานรากให้ลึกลงไปใต้ระดับดินเดิมอย่างน้อย 1.5 เมตร ถ้าวางตื้นกว่านั้น มีโอกาสที่คลื่นจะกัดเซาะดินใต้ฐานรากออกไปทำให้อาคารทรุดพัง หรือล้มได้
4.ชั้นล่างของอาคารควรปล่อยให้เป็นที่โล่งเพื่อให้น้ำไหลผ่านได้โดยสะดวก ไม่ควรก่อกำแพงมาต้านทานแรงดันน้ำเด็ดขาด เพราะมวลน้ำที่ทะลักเข้ามามีปริมาณมหาศาล แต่ควรใช้วิธีการลดแรงดันน้ำโดยปล่อยให้น้ำไหลผ่านตัวอาคารไปได้อย่างสะดวกแทน โดยไม่พัดพาเอาตัวบ้านไปด้วย
5.ไม่ควรก่อสร้างห้องใต้ดิน เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ยินการแจ้งเตือนภัยสึนามิ และเป็นสถานที่ที่มีโอกาสถูกน้ำท่วมได้ง่าย
6.การก่อสร้างควรใช้ระบบเทในที่ และหลีกเลี่ยงการใช้พื้นสำเร็จรูปเพราะพื้นอาจหลุดออกจากโครงสร้างหลักได้ง่าย
7.ควรใช้วัสดุที่มีคุณภาพดีในการก่อสร้าง เนื่องจากการก่อสร้างใกล้ชายทะเล เหล็กเสริมอาจเป็นสนิมได้ง่าย ทำให้อายุการใช้งานของอาคารสั้นลง
8.ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของโครงสร้างควรยึดกันอย่างมั่นคง โดยอาศัยเหล็กเสริมยึดชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
9. ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำสำหรับรูปแบบและการก่อสร้างอาคารทั่วไปที่เหมาะสมในเขตเสี่ยงภัยสึนามิระดับปานกลาง พ.ศ. 2551 ของกรมโยธาธิการและผังเมือง
************************************