นายกฯ เผยพยายามเพิ่มสัดส่วน การเรียนวิทยาศาสตร์-สังคมระดับมหาวิทยาลัยให้ได้อย่างน้อย 50:50 จากตอนนี้คนเรียนวิทย์อยู่ที่ 30% พร้อมฝากโจทย์สร้างค่านิยมให้เด็กเก่งหันมาเรียนวิทยาศาสตร์ แทนที่จะเลือกเรียนแต่หมออย่างเดียว
“พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าผมมีปัญหากับหมอนะครับ เพราะที่บ้านผมก็มีหมออยู่หลายคน แต่ทำไมค่านิยมของสังคมเรา คนที่เรียนเก่งที่สุดต้องไปเรียนหมอ" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีพูดบนเวทีปาฐกถาในการประชุม "นักวิจัยรุ่นใหม่พบเมธีวิจัยอาวุโส สกว.” เมื่อวันที่ 15 ต.ค.52 ณ โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ รีสอร์ท รีเจนท์ บีช ชะอำ
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าภารกิจของแพทย์ทำให้ไม่สามารถทุ่มเทงานวิจัยได้เต็มที่ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย และถึงเวลาแล้วที่ต้องส่งเสริมให้คนเก่งๆ ต้องการเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย ซึ่งเป็นความท้าทายต่อปัญหาค่านิยม และเป็นปัญหามากกว่าแค่การศึกษาหรือเรื่องทุนวิจัย
“ที่สุดเราต้องทำให้เยาวชนเห็นว่า การเป็นนักวิทยาศาสตร์นั้นได้รับการส่งเสริมจากสังคม มีความมั่นคงและความก้าวหน้าในอาชีพ น่าเสียดายที่คนเก่งๆ หลายคนไม่อยู่เมืองไทย ซึ่งผมได้พูดคุยกับหลายๆ คน เขาบอกว่าอยู่เมืองไทยมีสิ่งไม่เอื้ออะไรหลายๆ อย่าง" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า การเรียนวิทยาศาสตร์ของไทยยังมีปัญหาและมีผลการเรียนลดลง แม้จะเห็นว่าเด็กไทยไปแข่งวิชาการต่างประเทศแล้วได้รางวัลกลับมาจำนวนมาก ซึ่งเด็กที่คว้ารางวัลกลับมานี้ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน "มหิดลวิทยานุสรณ์" มากกว่าครึ่ง และแม้ว่าจะลงทุนให้กับเด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง แต่ก็นับว่าคุ้มค่าเพราะเด็กกลุ่มนี้มีผลงานโดดเด่นมาก
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ในการสนับสนุนการเรียนวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมจะได้ขยายรูปแบบความสำเร็จของโรงเรียนวิทยาศาสตร์เช่นโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์นี้ออกไป หรืออย่างน้อยสร้างเป็น "ห้องเรียนวิทยาศาสตร์" สำหรับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล ส่วนการสนับสนุนการเรียนวิทยาศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัยจะเพิ่มสัดส่วนคนเรียนวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น อย่างน้อยให้สัดส่วนวิทยาศาสตร์ต่อสังคมเป็น 50:50 ซึ่งปัจจุบันมีคนเรียนวิทยาศาสตร์อยู่ที่ 30%
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาภายในการประชุม "นักวิจัยรุ่นใหม่พบเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ระหว่างวันที่ 15-17 ต.ค.52 ณ โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ รีสอร์ท รีเจ้นท์ บีช ชะอำ