ศ. น.พ.ยง ภู่วรวรรณ เมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้ำว่า ไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 จะคงอยู่กับประเทศไทยไปอีกนาน และต้องเฝ้าระวังทั้งปี โดยเฉพาะในสภาพอากาศเย็น ชื้น ช่วงฤดูฝนและหนาว ซึ่งพอเข้าเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม อาจเกิดการระบาดได้เป็นหย่อมๆ ขอให้ทุกฝ่ายดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด ในส่วนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนาวิธีการตรวจวัดไข้หวัดนกอย่างรวดเร็ว และสามารถตรวจวัดการดื้อยาทามิฟลูของเชื้อได้ นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับภาควิชาเคมีติดตามการดื้อยา การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ไวรัสในระดับโมเลกุล เพื่อพยากรณ์การกลายพันธุ์ด้วยคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ศ.ดร.สุพจน์ หารหนองบัว เมธีวิจัยอาวุโส สกว. จากภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ได้วิจัยการออกแบบยาชนิดใหม่ โดยใช้วิธีการทางคอมพิวเตอร์พบว่า ยาทามิฟลูถูกออกแบบมาสำหรับไข้หวัดนกสายพันธุ์ N2 ทำให้โมเลกุลใหญ่ไป จึงออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควรเมื่อนำมาใช้รักษาสายพันธุ์ N1 และเกิดการดื้อยาได้ ดังนั้น ยาชนิดใหม่ควรจะมีสายโซ่สั้นลง ซึ่งปัจจุบันทีมวิจัยได้ออกแบบโมเลกุลยาที่คล้ายคลึงกับทามิฟลูไว้แล้วกว่า 10 ชนิด อยู่ระหว่างการส่งไปสังเคราะห์เพื่อทดสอบการออกฤทธิ์ต่อไป ขณะเดียวกัน ก็จะทำการวิจัยหายากลุ่มใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยน่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า
ศ.ดร.สุพจน์ หารหนองบัว เมธีวิจัยอาวุโส สกว. จากภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ได้วิจัยการออกแบบยาชนิดใหม่ โดยใช้วิธีการทางคอมพิวเตอร์พบว่า ยาทามิฟลูถูกออกแบบมาสำหรับไข้หวัดนกสายพันธุ์ N2 ทำให้โมเลกุลใหญ่ไป จึงออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควรเมื่อนำมาใช้รักษาสายพันธุ์ N1 และเกิดการดื้อยาได้ ดังนั้น ยาชนิดใหม่ควรจะมีสายโซ่สั้นลง ซึ่งปัจจุบันทีมวิจัยได้ออกแบบโมเลกุลยาที่คล้ายคลึงกับทามิฟลูไว้แล้วกว่า 10 ชนิด อยู่ระหว่างการส่งไปสังเคราะห์เพื่อทดสอบการออกฤทธิ์ต่อไป ขณะเดียวกัน ก็จะทำการวิจัยหายากลุ่มใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยน่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างได้ในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า
