โรคประหลาดในนิการากัว ทำให้คนปกติให้กลายเป็นคนเสียสติ และยังเป็นที่ฉงนต่อวงการวิทยาศาสตร์ ซึ่งพยายามหาคำตอบมา 2-3 ปี โดยหลังจากตรวจเลือดผู้ป่วย ยังไม่พบสาเหตุใดๆ ขณะที่หญิงชาวเมืองอ้างรักษาได้ด้วยน้ำสมุนไพรที่เธอผสมขึ้น
บีบีซีนิวส์รายงานถึงการระบาดของโรค "กรีซีซิกนิส " (Grisi Siknis) ในนิการากัว ซึ่งชื่อโรคดังกล่าวเป็นภาษาถิ่นของชาวมิสกิโต (Miskito) ในนิการากัวที่มีความหมายว่า "โรคติดเชื้อบ้า" (crazy sickness) ซึ่งปีที่ผ่านมา ที่นิการากัวมีผู้ป่วยด้วยโรคดังกล่าว 65 ราย
ลักษณะของโรค มีพฤติกรรมคล้ายกับไวรัส โดยส่งเชื้อติดต่อระหว่างวัยรุ่นคนหนึ่งไปยังอีกคน ซึ่งหลังจากผู้ป่วยแสดงอาการคลุ้มคลั่งแล้วจะหมดสติยาวนาน หรืออยู่ในภาวะไม่รู้สึกตัวเหมือนอาการโคม่า
ส่วนหนึ่งของผู้ที่มีอาการดังกล่าว ได้ถูกนำตัวไปรักษายังบ้านของนางโดญ่า ปอร์เซลา (Doña Porcela) ชาวนิการากัวในเมืองปวยร์โตกาเบซัส ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศบริเวณชายฝั่งทะเลคาริบเบียน โดยนางโดญ่าให้สัมภาษณ์ว่า โรคกรีซีซิกนิสทำให้คนกลายเป็นแม่มดแล้วเป็นบ้า
ขณะที่แพทย์ทางฝั่งตะวันตก ยังไม่ทราบว่าจะบำบัดอาการป่วยอันลึกลับนี้อย่างไร แต่โดญ่าสามารถรักษาผู้คนได้ด้วยยาที่เธอปรุงขึ้น โดยนำไปใช้ดื่มหรืออาบ ภายใน 3-4 วันคนเหล่านั้นจะหายเป็นปกติ
พร้อมกันนี้เธอยังทำพิธีกรรมที่คล้ายพิธีไล่ผี โดยอาศัยสมุนไพรกับเทียนไข อีกทั้งบ่อยครั้งที่เธอเดินทางไปทำพิธีกรรมยังบ้านของผู้ป่วยตามคำเรียกร้อง
สำนักข่าวบีบีซีได้สัมภาษณ์โลลา เอ็มเบอร์โต (Lola Emberto) ซึ่งบุตรสาว 2 คน อยู่ในวัย 18 และ 13 ปีที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าว และได้ร้องขอให้นางโดญ่าไปรักษา โดยนางเอ็มเบอร์โตก็เหมือนชาวมิสกิโตทั่วๆ ไปที่เชื่อในมนต์ดำ
เธอเล่าว่าลูกๆ ของเธอป่วยเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว เป็นช่วงเวลาที่เธอกินไมได้นอนไม่หลับ เพราะลูกสาววิ่งไปรอบๆ เหมือนคนบ้า ฉีกทึ้งเสื้อผ้าตัวเอง บางครั้งก็วิ่งเอาหัวชนกำแพงเมื่อความเจ็บป่วยรุมเร้า บางครั้งวิ่งเข้าใส่พุ่มไม้หรือวิ่งลงแม่น้ำ ซึ่งผู้คนก็พยายามตามจับเธอเท่าที่ทำได้
อย่างไรก็ดี อาการโรคประสาทแบบหวาดกลัวที่เกิดขึ้นเป็นหมู่คณะนี้ ได้รับการบันทึกครั้งแรกว่า เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศนี้เมื่อกว่า 150 ปีมาแล้ว ซึ่งทั้งหมดมีเพียงชาวมิสกิโตเท่านั้นที่เกิดอาการเช่นนี้ แต่เร็วๆ นี้ อะนาดินา สมิธ (Anadina Smith) วัย 16 ซึ่งมีเชื้อสายสเปนเพิ่งป่วยมีอาการเดียวกัน
"วันหนึ่งตอนที่อยู่โรงเรียน หนูรู้สึกเวียนหัวและรู้สึกว่าหายใจได้ลำบาก จากนั้นหนูก็เห็นบางอย่างเคลื่อนมาข้างหน้า คล้ายผู้ชายตัวดำหรืออาจเป็นมังกร และเข้ามาในตัวหนู จากนั้นก็ควบคุมหนู" อะนาดินากล่าว
ในวันเดียวกันนั้นเองมีเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ อีก 3 คนที่โรงเรียนของอะนาดินามีอาการเดียวกัน ซึ่งหลวงพ่อฮาโรลด์ ดิกซอน (Harold Dixon) ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวว่า เขาได้เห็นเหตุการณ์ที่เด็กสาวเกิดอาการกรีซีซิกนิส โดยเด็กๆ เหล่านั้นเกิดอาการเวียนศรีษะ จากนั้นหมดสติแล้วล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนที่จะเริ่มต้นตะโกนแล้วเอาหัวโขกกำแพงหรือไม่ก็โต๊ะ ซึ่งต้องใช้คน 5-6 คนเพื่อควบคุมเด็กสาว 1 คนไว้
ศ.พาโบล แมคเดวิส (Prof. Pablo McDavis) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยูรัคคัน (Uraccan University) ซึ่งอยู่ชานเมืองปวยร์โตกาเบซัส ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับโรคกรีซีซิกนิสเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ภายในห้องปฏิบัติการของภาควิชาโรคชาวพื้นเมือง โดยได้นำเลือดของผู้ป่วยขณะเกิดอาการไปตรวจ แต่ไม่พบอะไร
"การใช้ยาหรือฉีดยา ดูเหมือนจะเพิ่มความก้าวร้าวให้กับผู้ป่วย โดยทางคลินิคเรายังไม่ตรวจพบอะไร มันเหมือนสิ่งที่ระเบิดออกมา หากการจู่โจมไม่ถูกบับยั้งอย่างรวดเร็ว มันก็ขยายวงไปสิ่งที่อยู่รอบๆ" ศ.แมคเดวิสกล่าว
จนถึงบัดนี้มีกรณีของโรคกรีซีซิกนิสทั้งหมด 46 รายแล้ว และขณะที่โรคนี้ยังคงสร้างความงุนงงให้กับการแพทย์แผนตะวันตกอยู่ ขณะเดียวกันธุรกิจของนางโดญ่าก็จะยังคงคึกคักต่อไป.