ไทยจะใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์บนผลิตภัณฑ์เป็นรายแรกในอาเซียน อบก. ร่วมมือเอ็มเทค เฟ้นหา 20 บริษัทนำร่อง เตรียมติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ปลายปีนี้ หวังกระตุ้นคนไทยมีส่วนร่วมช่วยลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเป็นใบเบิกทางให้สินค้าไทยเข้าสู่มาตรฐาน ISO 14067 ที่จะเริ่มใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดตัวโครงการการส่งเสริมการใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์บนผลิตภัณฑ์ และการประกวดตราสัญลักษณ์ เมื่อวันที่ 8 เม.ย.52 ณ โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ โดยมีนักวิชาการ ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชนร่วมงานจำนวนมาก รวมทั้งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์สังเกตการณ์
นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ ผู้อำนวยการ อบก. กล่าวว่า เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ที่จะติดบนสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้น เพื่อแสดงข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาปริมาณเท่าไหร่ ตั้งแต่กระบวนการหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการกำจัดเมื่อกลายเป็นของเสีย ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจชื้อของผู้บริโภค และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญการใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกด้วย เนื่องจากขณะนี้ในหลายประเทศเริ่มมีการนำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มาใช้กันแล้ว ทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นต้น และมีการเรียกร้องให้สินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทยต้องติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วย
นอกจากนั้น หากประเทศไทยมีการดำเนินโครงการและเก็บข้อมูลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจน จะช่วยให้เรามีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นในการประชุมระดับโลกเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน
ก่อนหน้านี้ อบก. ได้ร่วมกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยจัดทำโครงการส่งเสริมการติดฉลากคาร์บอนบนผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าเช่นเดียวกัน โดยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้เริ่มทยอยอนุมัติฉลากคาร์บอนให้กับสินค้าต่างๆ แล้วรวม 25 รายการ จาก 9 บริษัท ซึ่งสตรอเบอร์รีอบแห้ง ตราดอยคำ ได้รับการอนุมัติเป็นรายแรก โดยสินค้าที่มีฉลากคาร์บอนจะเริ่มออกสู่ตลาดในเร็วๆ นี้
ดร.พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาการตลาด อบก. อธิบายเพิ่มเติมว่า การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดอายุของผลิตภัณฑ์นั้น แต่ฉลากคาร์บอนจะแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป เมื่อเทียบกับปี 2545 โดยคำนวณก๊าซเรือนกระจก 6 ชนิด เช่นกัน
สำหรับโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์นั้น ดร.พงษ์วิภา บอกว่า เริ่มแรกจะคัดเลือกผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการจำนวน 20 บริษัท เพื่อเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และต้องติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นต์บนผลิตภัณฑ์ที่ศึกษา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มติดได้ราวเดือน พ.ย. 52 โดยขณะนี้มีหลายบริษัทให้ความสนใจติดต่อขอเข้าร่วมโครงการแล้ว เช่น อุตสาหกรรมอาหาร กระดาษ ยางรถยนต์ เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทที่เข้าร่วมโครงการนำร่องจะมีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการบริษัทละ 50,500 บาท ขณะเดียวกัน อบก. จะเร่งสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนฟรุตพริ้นท์ เพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับเอกชนในการประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์เพื่อขออนุมัติติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์จาก อบก. ต่อไป
ด้าน รศ.ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ผู้อำนวยการเอ็มเทค กล่าวกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ว่า การประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ หรือ แอลซีเอ (Life Cycle Assessment: LCA) นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากและต้องใช้ข้อมูลเยอะ ซึ่งเอ็มเทคได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรพัฒนาฐานข้อมูล LCA ของประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2550 และจะขยายข้อมูลให้มีความคลุมมากยิ่งขึ้นต่อไป โดยในโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์นี้เอ็มเทครับผิดชอบในเรื่องของเทคนิคในการประเมินวัฏจักรผลิตภัณฑ์
นอกจากนั้นยังเป็นโอกาสของประเทศไทยในการก้าวเป็นผู้นำด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในระดับอาเซียน เพราะไทยเริ่มโครงการนี้เป็นรายแรกในภูมิภาคนี้ อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่มาตรฐานไอเอสโอ 14067 (ISO 14067) ที่มีการนำก๊าซเรือนกระจกเข้ามาพิจารณาร่วมด้วยเป็นครั้งแรก ซึ่งคาดว่ามาตรฐานสากลนี้จะเริ่มใช้กันประมาณเดือน มี.ค. 2554
ทั้งนี้ บริษัทที่สนใจเข้าร่วมโครงการนำร่องติดเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 8-30 เม.ย. 52
ส่วนเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่จะนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยนั้น อบก. ได้จัดโครงการประกวดตราสัญลักษณ์คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขึ้น โดยนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่สนใจ สามารถร่วมส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.- 7 พ.ค. 52 ผู้ชนะเลิศจะได้รับโล่เกียรติยศ พร้อมเงินรางวัลจำนวน 30,000 บาท หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2615-8791-3 ต่อ 106 หรือ www.tgo.or.th.