xs
xsm
sm
md
lg

เฉลิมฉลองสองศตวรรษแห่งชาตกาลของ Charles Darwin (3)

เผยแพร่:   โดย: สุทัศน์ ยกส้าน

กิ้งก่าทะเลกำลังอาบแดด
Darwin จึงนำประเด็นนี้ และบทความของ Wallace เสนอ ต่อ Lyell และ Hooker เพื่อขอความเห็นจากนักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง และ Lyell กับ Hooker ก็ได้ขอให้ Darwin เองเรียบเรียงบทความสั้นๆ เรื่องวิวัฒนาการขึ้นมา เพื่อจะได้นำเสนอบทความของทั้ง Wallace และ Darwin ในที่ประชุมของสมาคม Linnaean แห่งลอนดอน เมื่อถึงวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2401, ขณะมีการอ่านบทความคนทั้งสองทั้ง Wallace และ Darwin มิได้อยู่ในที่ประชุม ถึงที่ประชุมจะมีนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ หลายคนเช่น William Buckland นักอัญมณีจากมหาวิทยาลัย Oxford กับ Robert Brown นักชีววิทยาผู้พบการเคลื่อนที่แบบ Brown และ Richard Owen นักกายวิภาคศาสตร์ผู้ชอบอิจฉาคนอื่น หลงตัวเอง และไม่ซื่อสัตย์ แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่นำมาอ่านแต่ประการใด

เมื่อความคิดเรื่องวิวัฒนาการได้ปรากฏในวงการวิชาการเช่นนี้ “ความคิดต้องห้าม” นี้ ก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป Darwin จึงเดินหน้าเขียนหนังสือเสนอรายละเอียดและหลักฐานมากขึ้น โดยตั้งชื่อบทความว่า An Abstraet of an Essay on the Origin of Species พร้อมกับย้ำว่านี่เป็นเพียงบทนำของหนังสือเล่มใหญ่ที่จะตามมาในภายหลัง

ในความพยายามที่จะถ่ายทอดความคิดที่ยิ่งใหญ่ จากข้อมูลที่หลากหลายและมากมหาศาลนี้ Darwin ต้องทำงานหนักมากจนบางครั้งต้องเดินคิดคนเดียวออกไปนอกบ้านในเวลากลางคืนขณะอากาศหนาวจัด บางครั้งก็ยืนจ้องมองดอกไม้สีต่างๆ เป็นเวลานาน จนคนรอบข้างสงสัยว่าเขาไม่มีอะไร ที่ดีกว่านี้ให้ทำหรืออย่างไร และเมื่อครั้งที่ Darwin เดินทางไปเยือน Isle of Wight เขาได้เห็นเมล็ดของต้น thistle ลอยไปในอากาศ การสังเกตเห็นนี้ ช่วย Darwin ให้สามารถอธิบายกลไกการแพร่พันธุ์ของต้นไม้บางชนิดได้ และทุกครั้งที่เห็นเมล็ดพืชแปลกๆ Darwin จะผ่ามันออกดู เพื่อจะรู้กลไกการอยู่รอดของมัน เป็นต้น

ในขณะที่ Darwin กำลังเรียบเรียงความคิดของตนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรนี้ ได้มีนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งชื่อ Robert Chambers ซึ่งก็ได้เรียบเรียงหนังสือชื่อ Vestiges of the Natural History of Creation ออกมาด้วยโดยได้ดัดแปลงความคิดของ Lamarck แต่หนังสือเล่มนี้ ถูกนักชีววิทยาหลายคนเช่น Thomas Huxley โจมตีรุนแรงว่าไร้สาระเพราะไม่มีหลักฐานสนับสนุน

การเห็นหนังสือ Vestiges ถูกนักวิชาการเก่งๆ โจมตีทำให้ Darwin ต้องเพิ่มความระมัดระวังที่จะนำเสนอความคิดของตนจึงได้เก็บตัวเงียบ เพราะรู้ตัวว่า ตนมิได้เป็นศาสตราจารย์ทางชีววิทยา ดังนั้น การเขียนเรื่องคัดค้านหรือต่อต้านไบเบิลจึงเป็นเรื่องไม่บังควร แต่นักวิชาการบางคนกลับคิดว่า การซุ่มเงียบของ Darwin ในช่วงเวลานั้น เกิดจากการมีบุคลิกภาพที่ไม่ชอบการเผชิญหน้าหรือการโต้เถียงอย่างรุนแรง และการถูกประณามมากกว่า แต่ในความเป็นจริง Darwin มิได้เก็บตัวเงียบอยู่ตามลำพัง เขาเปิดใจสนทนากับ Charles Lyell และกับ Joseph Hooker บ้าง

ในการได้เห็นความแตกต่างและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาล แล้วสามารถนำมาสรุปว่า สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการมิใช่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์ทุกคนยอมรับง่ายๆ Darwin จะต้องเสนอกลไกที่ทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ แตกต่างกันด้วย และ Darwin ก็ได้พบว่า สภาพดิน ฟ้า อากาศ และการถ่ายทอดทางพันธุกรรมล้วนมีบทบาทที่ทำให้เกิดวิวัฒนาการ แต่สิ่งเหล่านี้ก็มิใช่ปัจจัยหลัก

จนกระทั่งถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2381 Darwin ก็ได้ความคิดเรื่องกลไก เมื่อได้อ่านบทความเรื่อง Essay on the Principle of Population ของ Thomas Robert Malthus ซึ่งเป็นทั้งนักเทศน์และนักเศรษฐศาสตร์ ในบทความที่ Malthus เขียนตั้งแต่ปี 2341 ซึ่งเป็นเวลาที่อังกฤษกำลังสู้รบกับฝรั่งเศส สงครามได้ทำให้ประเทศขาดแคลนอาหาร และผู้คนล้มตายมากมาย Malthus ได้ชี้ให้เห็นว่า ถ้าจำนวนประชากรเพิ่มเร็วกว่าปริมาณอาหารที่ผลิตได้ เหตุการณ์นี้ จะทำให้สิ่งมีชีวิตต่อสู้กัน เพื่อแย่งชิงอาหารมาบริโภคให้ตัวเองอยู่รอด เช่น ถ้าประเทศผลิตอาหารในปริมาณ 2, 3, 4, 5, 6, ... เท่า คือเพิ่มแบบอนุกรมเลขคณิต แต่ประชากรเพิ่มจำนวนในปริมาณ 2, 4, 8, 16, 32, ... คือ แบบเรขาคณิต ดังนั้นเมื่ออาหารมีไม่พอเพียง ประชากรในสังคมนั้นก็จะแก่งแย่งทรัพยากรกัน จนอาจทำให้เกิดสงครามกลางเมือง ด้วยเหตุนี้ Malthus จึงมีความเห็นว่า หนทางหนึ่งที่จะหลีกเลี่ยงความโกลาหลนี้ได้ คือ คู่บ่าวสาวจะต้องแต่งงานเมื่ออายุมาก และครอบครัวจะต้องมีการคุมกำเนิด การต่อสู้เพื่อการอยู่รอดจึงจะไม่อุบัติ

เมื่อ Darwin เข้าใจหลักการนี้ เขาจึงนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก โดยได้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลง สัตว์จะต่อสู้แย่งทรัพยากรกันเพื่อการอยู่รอด และการแก่งแย่งนี้จะทำให้โครงสร้างทางกายภาพของสัตว์เปลี่ยนแปลง หากสัตว์นั้นแข็งแรงมันจะรอดชีวิต แล้วความสามารถนี้จะถูกถ่ายทอดต่อไปยังลูกหลาน ด้วยกระบวนการทางพันธุกรรม ส่วนสัตว์ที่อ่อนแอหรือไม่เหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อมก็จะล้มตายไป และเมื่อบรรยากาศและสภาพของโลกไม่เคยหยุดนิ่ง คือเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น ชีวิตทุกชีวิตบนโลกจึงไม่เคยหยุดเปลี่ยนแปลงด้วย และจะวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ เพื่อให้ชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสมดุลในสภาพแวดล้อมของมัน

เมื่อพบกลไกการวิวัฒนาการ หลักการเรื่องวิวัฒนาการของ Darwin ก็สมบูรณ์ หนังสือของ Darwin เรื่อง Origin of Species ถูกนำออกวางขายเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2402 และหนังสือที่พิมพ์ครั้งแรก จำนวน 1,500 เล่มขายหมดภายในวันเดียว โดยคนที่ซื้อไปอ่านมีทั้งคนทั่วไป และนักวิทยาศาสตร์ และทุกคนต่างก็ได้พบว่า เนื้อหาและภาษาที่ Darwin ใช้ในการเรียบเรียงนั้นอ่านเข้าใจยาก แต่สำหรับ Thomas Huxley แล้ว เขาได้อุทานออกมาด้วยความเสียดายว่า “ผมโง่มากที่ไม่ได้คิดเรื่องนี้” จะอย่างไรก็ตาม หนังสือ Origin of Species ก็ยังขายดีถึงขนาดได้รับการตีพิมพ์ 6 ครั้งในเวลา 13 ปีต่อมา

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับความคิดของ Darwin โดยเฉพาะสถาบันศาสนานั้นได้ออกมาต่อต้าน โดยการบริภาษว่า Darwin เป็นคนนอกรีตที่บังอาจกล่าวหาว่าคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลเหลวไหล และมีจิตวิปริตที่คิดว่า คนและลิงมีบรรพบุรุษร่วมกัน เมื่อมีกระแสทั้งต่อต้านและสนับสนุน ในปี 2403 British Association จึงได้จัดให้มีการโต้วาที เรื่องวิวัฒนาการว่ามีหรือไม่มีจริง ระหว่างบาทหลวง Samuel Wilberforce และ Richard Owen ผู้ซึ่งเป็นนายกของสมาคมที่ต้องการล้มล้างทฤษฎีวิวัฒนาการกับ Thomas Henry Huxley นักชีววิทยาผู้สนับสนุน Darwin ที่มหาวิทยาลัย Oxford และการอภิปรายก็ได้ดำเนินไปอย่างดุเดือด จนในที่สุด Huxley ก็ได้เอ่ยวาทะอมตะว่า

“ผมภูมิใจที่บรรพบุรุษผมเป็นลิงไม่มีหาง ยิ่งกว่าเป็นบาทหลวง” (อ่านต่ออังคารหน้า)

สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.
นก mockingbird เกาะบนตัวตะกวด
ซากฟอสซิลที่ Darwin เก็บมาได้จากการเดินทางรอบโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น