xs
xsm
sm
md
lg

อภิสิทธิ์ : WORLD ECONOMIC FORUM “ท่องเที่ยว – ส่งออก – ภาพลักษณ์”

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

การประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกหรือ “World Economic Forum” ที่เมืองดาวอส (Davos) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เริ่มขึ้นและจบลงอย่างไม่ค่อยจะเรียบร้อยและราบรื่นซักเท่าไหร่ จากการปะทะคารมกันระหว่างผู้นำตุรกีกับผู้นำอิสราเอล กรณีอิสราเอลถล่มชาวปาเลสไตน์ที่ฉนวนกาซา (Gaza) ติดต่อกันหลายสัปดาห์ และการที่ผู้ดำเนินรายการให้เวลาแก่ผู้นำตุรกีตอบโต้น้อยเกินไป จนผู้นำตุรกีเดินออกจากเวทีปัจจุบันทันด่วน เป็นที่ตกตะลึงของผู้เข้าประชุมนับหลายร้อยคน

เวทีการประชุมระดับโลกในครั้งสำคัญนี้ ผู้นำประเทศไทย คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยได้ฉวยโอกาสเข้าไปร่วมประชุมด้วย ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มทำงานได้เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา “การประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก” เราไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมเพื่อแสดงวิสัยทัศน์และความคิดกับเวทีนี้มากนัก เนื่องด้วยสถานการณ์ทางการเมืองไทย ตลอดจนรัฐบาลได้มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก เราจึงขาดผู้นำที่จะไปโชว์วิสัยทัศน์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขึ้นบนเวทีและกล่าวสุนทรพจน์ และ/หรือแสดงความคิดเห็นเป็นภาษาอังกฤษ เป็นบทบาทที่สำคัญมาก เราจึงไม่ได้ร่วมประชุมอย่างโดดเด่นมากมายนัก

แต่การที่เราได้นายกรัฐมนตรีอย่างคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จบการศึกษาตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนชั้นนำของอังกฤษ อย่าง “Eton” นั้น นับว่าเยี่ยมยอดเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกอยู่แล้ว เท่านั้นยังไม่พอ คุณอภิสิทธิ์ จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอีก

เพราะฉะนั้น การยอมรับในคุณวุฒิด้านการศึกษาจากสังคมโลก จึงไม่ต้องสงสัยจากผู้เข้าร่วมประชุมและผู้นำจากทุกภาคส่วนทั่วโลก โดยเฉพาะแล้ว ภาษาอังกฤษของ “คุณมาร์ค” นั้น ไม่ต้องมีข้อคลางแคลงใจสงสัยใดๆ เลยว่า สามารถพูดฟัง และไม่สำคัญเท่ากับ การตอบโต้ที่ทันควันและชัดเจนได้

การไปร่วมประชุมบนเวทีเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ถือว่า เป็นโอกาสดีที่นายกฯ อภิสิทธิ์ จะใช้เวทีนี้สร้างความเชื่อมั่นและเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศชาติได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น่าจะเป็น “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ที่น่าจะได้ประโยชน์สูงสุด ตลอดจน “อุตสาหกรรมการส่งออก” ที่จะตามมา ซึ่งคงไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องด้วย “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ที่ลุกลามไปทั่วโลก

ส่วนในกรณีของ “การลงทุน” นั้น ขอฟันธงได้เลยว่า เราจะไม่ได้อะไรจากเวทีนี้เลย เพราะกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักๆ อย่างสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ต่างต้องถนอมและรักษาตนเองให้ดีที่สุดเสียก่อน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็หมายความว่า “การลงทุน” จากกลุ่มประเทศคู่ค้าเดิมๆ นั้น เราคงไม่ได้โอกาสในช่วง 1-2 ปีนี้อย่างแน่นอน!

การประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม ได้จบสิ้นลงไปเรียบร้อย และเท่าที่มีการประเมินผลการประชุม ปรากฏว่า “ผิดหวัง!” กับเนื้อหาสาระและบทสรุปของการประชุมจากบรรดาสมาชิกผู้เข้าร่วมประชุม ไม่ว่าจากภาคธุรกิจเอกชน นักธุรกิจระดับยักษ์ใหญ่ และผู้นำจากหลากหลายประเทศ

“การแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ” เป็นประเด็นสำคัญของการประชุมเวทีโลกในครั้งนี้ แต่ที่ผิดหวังกันถ้วนหน้านั้น เกิดจากการที่ผลประชุมไม่ได้มีบทสรุปอะไรที่เป็นเนื้อเป็นหนังแต่อย่างไร เพียงแต่มี “การอภิปราย” และ “ข้อคิดเห็น” เท่านั้น มิได้มี “ข้อเสนอแนะ-ทางออก” ใดๆ ทั้งสิ้น

และไม่สำคัญเท่ากับว่า “การยอมรับ” ว่า “วิกฤตเศรษฐกิจ” ในครั้งนี้ หนักหนาสาหัสสากรรจ์ที่สุด เสมือน “The Great Depression” ในช่วงปี 1930 และต่างก้มหน้าที่จะต้องเดินฝ่าวิกฤตไปด้วยกันทั่วโลก อย่างน้อยก็อีก 1-2 ปี

พูดง่ายๆ คือ ไม่มีประเทศใดที่จะสามารถเสนอตัวเข้ามาโอบอุ้มช่วยกันคลี่คลายปัญหา เนื่องด้วย แต่ละประเทศต่างก็ “อ่วมอรทัย!” ชนิดที่ไม่สามารถจะช่วยเหลือใครได้ แม้แต่ตนเอง เข้าทำนอง “เตี้ยอุ้มค่อม!” หรือ “ตัวใครตัวมัน!”

ไม่ต้องดูอื่นไกล แม้กระทั่ง สหรัฐอเมริกาเอง ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ยังไม่เข้าร่วมประชุมด้วยเลย หรือแม้แต่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเช่นเดียวกัน เท่าที่ทราบ โอบามา ส่งเพียงระดับที่ปรึกษาเข้าร่วมประชุม เพื่อสังเกตการณ์เท่านั้น มิได้ขึ้นเวทีเป็นตัวแทนแสดง “วิสัยทัศน์-ข้อคิดเห็น” แต่ประการใด

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญที่ ประธานาธิบดี โอบามา และ/หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้าร่วมประชุมนั้น สาเหตุสำคัญก็เพราะทั้งเกรงและกลัวว่าจะถูก “ตำหนิ” ว่าเป็นสาเหตุสำคัญของ “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ในครั้งนี้ จนได้รับการขนานนามว่า “แฮมเบอร์เกอร์ดีซีส (Hamburger Diesease)” เรียกว่า “ไม่กล้าบากหน้า” ไปให้ประชาคมโลก “ประณาม!”

อย่างไรก็ตาม เราทุกคนที่ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของการประชุม “เวทีเศรษฐกิจโลก” ในครั้งนี้ ทั้งผู้นำจีนและรัสเซียต่างไม่ได้ “เกรงขาม-เกรงใจ” แสดงท่าที “ขย่ม-ก่นด่า” ลั่นเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถึง “ต้นตอ” ของปัญหาเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ ล้วนเกิดจาก “อเมริกา” ทั้งหมด ชนิดที่เรียกว่า “คำราม” ใส่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา จนต้องรีบสงบปากสงบคำ

ช่วงที่ประธานาธิบดี โอบามา รับตำแหน่งใหม่ๆ ได้แถลงข่าวร่วมกับคณะรัฐมนตรีบางส่วน “โจมตี” ประเทศจีน กรณี “ค่าเงินหยวน” และ “ลีลากำกับเศรษฐกิจโลก” ว่า จีนนั้นเป็น “นักเล่นกล” ตัวยงกับ “ความไม่จริงจัง-จริงใจ” ในการกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ พูดง่ายๆ คือ “เล่น-ล่อ” กับเขาก่อน

จนนายกรัฐมนตรี เหวิน เจีย เปา อดรนทนไม่ได้ ต้อง “สวนกลับ!” ชนิดไม่ยั้ง และไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม จนดังกระฉ่อนไปทั่วโลก เรียกว่า ทั้งโอบามาและชาวอเมริกัน “หน้าหงาย” ก็แล้วกัน!

เท่านั้นยังไม่พอ นายกรัฐมนตรี วลาดิเมียร์ ปูติน “ร่วมผสมโรง” กับจีนด้วยหมัดตามรัวเสริมเพิ่มเติมไปให้อีก จนประชาคมโลกค่อนข้างตกตะลึกและ “ขยาด” กับจีนและรัสเซียกันไปเลย!

แต่ “แสงแดด” ว่านะ ผู้นำประเทศเกือบทั่วโลก ตลอดจนผู้เข้าร่วมประชุมทุกภาคส่วนต่าง “สะใจ” กับจีนและรัสเซียเช่นเดียวกัน เพราะความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ในครั้งนี้ เกิดจากบรรดา “นักการเมือง” โดยเฉพาะ “อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช” และ “กองทุนเฮดจ์ฟันด์-กองทุนปีศาจ” กับ “กลุ่มนักธุรกิจค้าอาวุธ” ที่อยู่เบื้องหลัง “การเล่นแร่แปรธาตุ” กับ “สงครามอิรัก” และ “สงครามเศรษฐกิจ” จนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เกือบ “ล่มสลาย!”

จริงๆ แล้ว ก็ดีเหมือนกันที่ “สหรัฐอเมริกา” ถูก “ประณาม” บนเวทีโลกกับปัญหาเศรษฐกิจโลกที่อเมริกาเป็นต้นเหตุ ทั้งนี้ เป็นปัญหาที่หมักหมมมา 8 ปี เต็มๆ จากการบริหารชาติบ้านเมืองที่ผิดพลาดของ จอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช โดยที่ บารัค โอบามา นั้นไม่ได้รู้เห็น และ/หรือได้รับผลประโยชน์แต่ประการใด อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี โอบามา ก็ไม่สมควร “สะเออะ!” ออกมาตำหนิจีนอย่างรุนแรงเพียงนั้น ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่วัน

ส่วนการที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ร่วมเดินทางไปประชุมในครั้งนี้นั้น ขอย้ำอีกครั้งว่า “คุ้มค่ามาก!” เนื่องด้วยได้ขึ้นเวทีอภิปรายและแสดงความเชื่อมั่นให้กลับมาสู่ประเทศไทย

กิจกรรมหลักๆ ของการเดินทางไปร่วมประชุมเวิร์ล อีโคโนมิค ฟอรัม ในครั้งนี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ ได้พบปะกับบรรดาเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และข้าราชการระดับสูง ที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ยุโรปและแอฟริกาเหนือ เพื่อให้ทำหน้าที่ชี้แจงถึงสถานการณ์ชาติบ้านเมืองว่า “ปกติ” แล้ว และ “เดินหน้า” ต่อไปในการแก้ไขและฟื้นฟูประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเท่ากับว่า เป็นการก่อให้เกิด “ภาพลักษณ์” และ “ความรู้สึกบวก” กับประเทศไทย นับว่าฉกฉวยโอกาสได้ดีเพียงเวลาอันน้อยนิด

นอกจากนั้น “Win-Win” ที่ได้รับคือ การได้รับเชิญกล่าวนำใน 2 หัวข้อใหญ่ คือ “ธุรกิจการท่องเที่ยว” และ “วิกฤตอาหาร” โดยประเด็นหลักของความสำคัญของการท่องเที่ยวที่คุณอภิสิทธิ์ ได้เน้นย้ำว่า ประเทศไทยต้องการรายได้จากนักท่องเที่ยวที่โปรดปราน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ การประชุมสัมมนา การสุขภาพ การแพทย์ ที่เรียกร้องให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาอีกครั้งหนึ่ง

โดย “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” ได้รณรงค์ “แพกเกจทัวร์” ชนิด “ลด แลก แจก แถม” จนนักท่องเที่ยวพึงพอใจ และเริ่มทยอยกลับมาท่องเที่ยวอีก จนนายกฯ อภิสิทธิ์ “ยิ้มแก้มปริ” เพราะได้รับการตอบรับดีมาก!

“การท่องเที่ยว-การส่งออก” เป็นภาระหลักของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่ต้องเร่ง “โรดโชว์” เพื่อก่อให้เกิดความมั่นใจต่อประเทศไทยของประชาคมโลก แต่ต้องเรียนตามตรงว่า “ต่างประเทศ” นั้นเป็น “บวกแน่” แต่ “ปัจจัยเงิน-งบกระตุ้นฯ” นั้น ต้องกระจายอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง!
กำลังโหลดความคิดเห็น