ASTVผู้จัดการ - “ปณิธาน” เผย “มาร์ค” เตรียมใช้เวทีดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ประกาศไทยกลับสู่ภาวะปกติแล้ว พร้อมเดินหน้าเรียกความเชื่อมั่นอุตฯ ท่องเที่ยว-บริการ-เดินทาง ดูดเงินเข้าประเทศ คุยจะนำประสบการณ์ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 แนะผู้นำยุโรป ผลักดันปฏิรูปไอเอ็มเอฟ ระบุมีคิวพบผู้นำ อดีตผู้นำและนักธุรกิจระดับโลก เพียบทั้ง โคฟี อันนัน และบิล เกตส์
วานนี้ (29 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความมุ่งหวังในการเดินทางเข้าร่วมประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม (WEF) ครั้งที่ 39 ณ กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. ถึง 1 ก.พ. ว่า ตนเองจะใช้โอกาสนี้เล่าถึงพัฒนาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นของประเทศไทยในช่วงเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา เพื่อให้ต่างชาติมีความมั่นใจว่า การเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รักษาการโฆษกรัฐบาล กล่าวถึงรายละเอียดในการเดินทางเข้าร่วมประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม ของนายอภิสิทธิ์ว่า เป็นการเดินทางเพื่อร่วมประชุมประจำปีผู้นำเศรษฐกิจโลกทั้งภาครัฐบาลและเอกชนของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งภาคเอกชนเป็นผู้จัดงานโดยจะเป็นการพูดคุยกันเรื่องของสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แต่ไม่ได้มีผลผูกพันทางการเมือง หรือทางกฎหมาย เป็นการประชุมที่เปิดกว้างให้ผู้นำภาคธุรกิจและภาครัฐมาแสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ตามในรอบหลายปีที่ผ่านมาปรากฏว่าการประชุมดังกล่าว กลับมีผลผูกมัดในเชิงนโยบาย คือ มีการนำไปปฏิบัติ เวทีนี้จึงเป็นที่สนใจของผู้นำโลกที่จะเข้ามาแสดงจุดยืนความคิดเห็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ปัญหาทุนนิยม ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่กำลังพัฒนารวมทั้งแนวทางใหม่ๆ ที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกเจริญเติบโต
“มาร์ค” เตรียมสปีชเรียกความเชื่อมั่น
นายปณิธาน กล่าวต่อว่า ในการสัมมนากลุ่มย่อยของ WEF จะมีผู้นำที่หลายหลายเข้ามาร่วมเป็นผู้อภิปราย บางกลุ่มเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้นำอื่นๆ เข้ามาร่วมเสวนา บรรยากาศเป็นไปแบบสบายๆ แต่หัวข้อการพูดคุยค่อนข้างเข้มข้น ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์จะแสดงปาฐกถาเปิดการเสวนาในบางกลุ่ม และอาจเป็นผู้ร่วมเข้าฟังในบางกลุ่ม
“สิ่งที่เราจะพูดจะมีเฉพาะส่วนที่เราเข้มแข็ง เช่น เรื่องการค้า การท่องเที่ยวโดยท่านนายกฯ จะกล่าวเปิดเสวนาเรื่อง ‘การเจริญเติบโต ผ่านการเดินทางและการท่องเที่ยว’ ในวันที่ 30 ม.ค. เวลา 12.00 น. สิ่งที่ท่านนายกฯ จะพูดเรื่องแรกคือความเข้มแข็งของไทยในแง่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมบริการและอุตสาหกรรมการเดินทางที่ไทยมีจุดแข็งอยู่มาก ท่านนายกฯ จะนำเสนอว่า ในยามที่วิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น ถ้าเรามีการท่องเที่ยวการเดินทางที่ดีจะพยุงผลกระทบจากเศรษฐกิจได้ โดยไม่ต้องคิดถึงการส่งออกมากนัก แต่การส่งออกยังเป็นเรื่องสำคัญจะต้องมีมาตรการหนุนการส่งออก” นายปณิธานเปิดเผย
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า แม้ว่าเขาซื้อสินค้าเราไม่ได้ แต่เขาสามารถมาเที่ยวในไทยได้ คนไทยเที่ยวกันเอง เศรษฐกิจก็จะประคับประคองตัวได้ แต่จะต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตรการรักษาความปลอดภัยของสนามบิน ซึ่งในเชิงบริหารของไทยได้ให้มีการยกระดับให้มีการรักษาความปลอดภัยโดยการร่างกฎหมายออกมา นอกจากมาตรการรักษาความปลอดภัยแล้ว ไทยยังมีมาตรการจูงใจยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า 3 เดือน ลดค่าใช้จ่ายเที่ยวบินเหมาลำที่จะลงจอดสนามบิน มาตรการลดภาษีต่างๆให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นการกระตุ้นด้านการท่องเที่ยว
“การที่ไทยได้ไปร่วมครั้งนี้ถือเป็นการโชคดีที่เป็นสัญญาณว่าไทยได้กลับมามีผู้นำเข้มแข็งและพร้อมจะเดินหน้าประเทศต่อไป” นายปณิธานกล่าว
ถ่ายทอดประสบการณ์ช่วงวิกฤต
ในช่วงบ่ายของวันที่ 30 ม.ค. นายปณิธานระบุว่า นายกฯ จะเข้าประชุมร่วมกับผู้นำโลกหลายประเทศ เพื่อถกปัญหาของวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยนายกรัฐมนตรีไทยจะมีโอกาสนำเสนอประสบการณ์ว่า วิกฤติเศรษฐกิจโลกตอนนี้เกิดขึ้นกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาเคยประสบวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้มาแล้วอย่างรุนแรงและไทยเอาตัวรอดมาได้อย่างไร มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มความเข้มแข็งสถาบันการเงินอย่างไร
“ท่านนายกฯ จะเล่าให้ฟังในเวทีโลก ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเขาในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจโลก พร้อมกับมีการเสนอให้ปรับโครงสร้างของทุนนิยมโลก ปฏิรูปสถาบันการเงินในระบบทุนนิยม เช่น ไอเอ็มเอฟ และ สถาบันอื่นๆ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษจะกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ซึ่งรูปแบบจะเป็นการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการโดยนั่งหารือกับในลักษณะโต๊ะกลม”
โคฟี อันนัน-บิล เกตส์ มาด้วย
นายปณิธาน กล่าวอีกว่า โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีจะคุยเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เชื่อว่าเรื่องนี้หลายประเทศจะสนใจฟัง โดยจะมีนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ นายบิล เกตส์ เจ้าของบริษัทไมโครซอฟท์ ประธานมูลนิธิบิล เกตส์ รวมไปถึงประธานบริษัทผลิตอาหารยักษ์ใหญ่หลายแห่งของสหภาพยุโรปเข้าร่วมด้วย ตรงนี้นายอภิสิทธิ์จะกล่าวถึงความได้เปรียบของไทยในการเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา ซึ่งเวลานี้หลายประเทศต้องการอาหารจากไทยเพราะมีหลายประเทศที่ประสบกับวิกฤติทางด้านอาหาร ก็จะระงับการส่งออกหรือไม่ก็ตั้งกำแพงภาษี โดยสรุปแล้วเวทีนี้ไทยจะมีบทบาทสูงในฐานะเป็นผู้ผลิตที่หลายประเทศสนใจ
ขณะในช่วงเย็นนายอภิสิทธิ์จะพูดคุยถึงบทบาทของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมกับเศรษฐกิจโลก 20 ประเทศ ตรงนี้จะลงรายละเอียดของการปฏิรูปโครงสร้างทุนนิยม บทบาทของกลุ่มประเทศ G20 ที่ตกลงจะทำงานร่วมกันในเรื่องความโปร่งใส ความรับผิดชอบในแง่ทุนนิยม เรื่องการออมและการปฏิรูปสถาบันต่างๆ และทำตามนโยบายในการปรับปรุงโครงสร้างทุนนิยมโลกให้มีความเป็นธรรม และในช่วงค่ำจะมีการพบปะกับนักธุรกิจและผู้นำประเทศต่างๆ อีกครั้ง
ยืนยัน การเมือง-ศก.ไทยมีเสถียรภาพ
“โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีจะบอกนานาประเทศว่า ประเทศไทยเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ รัฐบาลไทยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น-ระยะกลางออกมาแล้ว ซึ่งได้รับการตอบรับพอสมควรและอาจจะมีการกระตุ้นอีกระลอกหากไม่ได้ผล เพราะมีการคาดการณ์ว่าอีก 3-4 เดือนข้างหน้าจะหนัก ซึ่งอาจจะมีการทบทวนโครงการและผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนระยะกลาง และระยะยาวต่อไป
“เชื่อว่านานาประเทศจะเข้าใจว่าไทยกลับมาทำงาน ผลักดันนโยบายผ่านสภา เพื่อให้ฝ่ายบริหารนำไปปฏิบัติ แม้ในทางการเมืองจะมีการชุมนุมประท้วงมีความเห็นแตกแยกกันบ้าง แต่ความร้อนแรงและการเผชิญหน้าก็ลดลงเรื่อยๆ การเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมารัฐบาลได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ที่เหนือความคาดหมาย ส่วนต่างประเทศก็ลดระดับการเฝ้าระวังของไทยลง รวมถึงยกเลิกมาตรการเตือนไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในไทย อัตราของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยก็มากขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าด้านการเมืองและเศรษฐกิจเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ” นายปณิธาน กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวทางแก้ไขปัญหาการเมืองโดยพยายามตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองจากคนที่ได้รับการยอมรับเพื่อมองหาแนวทางแก้วิกฤติทางการเมือง ตรงนี้ต่างประเทศจะมั่นใจว่า ไทยมีกระบวนการแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ และรัฐบาลจะมีมาตรการอื่นๆออกมาเป็นระยะเพื่อให้ต่างประเทศเห็นว่า ไทยมีความพยายามและความตั้งใจจริง
“ตอนนี้ต้องรอผลจากการทำงานเหล่านี้ในระยะเวลา 3-6 เดือนจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าน่าจะเห็นผลบ้างอย่างน้อยยังดีกว่าในช่วงที่เกิดความขัดแย้งที่อยู่ในสภาวะชะงักงัน อย่างไรก็ตามเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจ อาจไม่ได้ขึ้นอยู่ที่รัฐบาลอย่างเดียว ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ดี เราทำทุกอย่างเต็มที่แล้วตลาดที่เราจะขายยังมีปัญหา ไทยก็ทำอะไรได้ไม่มากจึงใช้เวทีการประชุมดังกล่าวบอกให้นานาชาติรู้ว่าเราทำเต็มที่ และในฐานะไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมอาเซียนซัมมิต นานาประเทศคงอยากรู้ว่าไทยมีความคิดอย่างไรต่อประเด็นต่างๆในเวทีโลก” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมกันนั้นยังระบุด้วยว่า หลังเดินทางกลับมา รัฐบาลจะนำสิ่งที่ได้จากเวที WEF เพื่อประเมินการตอบรับของต่างประเทศ ซึ่งหากได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นจะใช้รูปแบบนี้ในเวทีอื่นๆ ต่อไปเพราะนายกรัฐมนตรีมีแผนที่จะเดินทางไปโรดโชว์ยังญี่ปุ่นและจีน รวมถึงประเทศต่างๆ ในอาเซียนหลายประเทศด้วย