“อภิสิทธิ์” โชวกึ๋นพบนักลงทุน ยันเชื่อมั่นไทย พร้อมเตรียมแผนรองรับไตรมาส 3-4 ผุดไอเดียให้ “คลัง” กู้เงินหวังกระตุ้นมาตรการระยะยาว พร้อมเดินหน้า “เมกะโปรเจกต์” มั่นใจ รบ.อายุยืนถึงปีหน้าแน่ ย้ำไม่เลือกข้างไม่เลือกสี เชื่อเกิดสมานฉันท์
วันนี้ (19 ม.ค.) ที่โรงแรมดุสิตธานี เมื่อเวลา 14.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังปาฐกถาในงาน “อภิสิทธิ์พบนักลงทุน” ว่า หลังจากการสื่อสารไปยังนักลงทุนแล้วนั้น คิดว่าหลายคนคงเห็นทิศทางที่ชัดเจนที่สำคัญ คือ ให้มีความเชื่อมั่นประเทศไทยจากที่ได้รู้จักมานาน หลายคนเป็นนักลงทุนที่ทำธุรกิจกับไทยนานอาจมองว่า บ้านเราเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ยืนยันว่าบ้านเรายังมีความเข้มแข็ง มีจุดแข็งเหมือนเดิม รัฐบาลกำลังเข้ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และไม่ลืมมองไปถึงโอกาสในระยะยาว ซึ่งจะต้องพิสูจน์การทำงานต่อไป คิดว่าคงทำให้หลายคนมองเห็นความตั้งใจในแผนงาน และทิศทางของรัฐบาลชัดเจนขึ้น
เมื่อถามว่าคิดว่าจะสร้างความเชื่อมั่นได้มากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในแง่ความเชื่อมั่นคงจะไม่มีแค่วันนี้วันเดียว ตนจะเดินสายทำความเข้าใจทุกฝ่าย รวมทั้งต่างประเทศเอง และจะเดินทางไปในปลายเดือนนี้ด้วย ส่วนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบแรกจะเริ่มแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสแรก ไตรมาส 2-3 ไม่มีใครทราบว่าเมื่อถึงไตรมาส 3 สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ต้องมีการวางแผนรองรับเอาไว้ กระทรวงการคลังได้เตรียมแหล่งเงินทุนต่างๆ เท่าที่จะเข้ามาเสริมได้ ในกรณีที่ต้องใช้เงินเพิ่มเติม ขณะเดียวกันจะดูในเชิงโครงการที่ไปยังโครงการระยะกลาง และระยะยาว อีกทั้งทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์ว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนอย่างไร และทำงานบนความไม่ประมาทมีแผนสำรองตลอดเวลา
เมื่อถามว่า วางเพดานเงินกู้นอกประเทศที่จำเป็นต้องใช้วงเงินเท่าไหร่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถูกจำกัดตามสัดส่วนหนี้ที่เหมาะสมอยู่แล้ว เมื่อถามว่ามีข่าวออกมาว่าอาจจะต้องกู้เงินถึงแสนล้านบาทเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการพูดชัดเจน แต่เข้าใจว่าเป็นตัวเลขที่กระทรวงการคลังคำนวนอยู่ในช่วงเพดานเงินกู้ ซึ่ง ตนจะเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นในช่วงต้นเดือน ก.พ. เพราะญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนที่สำคัญมากและทางสำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ จัดให้พบนักลงทุนที่นั่น
มั่นใจรัฐบาลอายุยืนถึงปีหน้า
“ผมยังเชื่อว่าขณะนี้คนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศยุติความขัดแย้ง และผมได้ตอบคำถามนักลงทุนถึงเรื่องความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองจะต้องมีตลอดไป แต่ต้องขีดวงจำกัดวงให้ความขัดแย้งทางการเมือง หรือความเห็นที่แตกต่างทางการเมืองมันจำกัดอยู่ในระบบของเราเอง ไม่ไปกระทบกระเทือนจนกระทั่งธุรกิจเสียหาย ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ มันสำคัญกว่าเรื่องอายุของรัฐบาล ผมคิดว่าถ้าเราสามารถทำระบบให้อยู่ตรงนี้ได้ คิดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเดินไปได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอบถึงความมั่นใจเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลจะอยู่ถึงปีหน้าอย่างแน่นอน
เมื่อถามว่า การอภิปรายของฝ่ายค้านจะทำให้อายุของรัฐบาลสั้นลงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนว่าเร็วเกินไปที่จะประเมิน เพราะเมื่อถึงเวลาก็จะทราบว่าฝ่ายค้านมีเหตุผลอะไรในการยื่นญัติ และรัฐบาลมีหน้าที่ชี้แจง เมื่อถามว่า ทางฝ่ายค้านระบุว่ามีข้อมูลว่าคนของรัฐบาลเข้าไปครอบครองที่ดินในพื้นที่ภาคใต้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ เมื่อมีข้อมูลก็ต้องนำเสนอต่อไป เป็นเรื่องรัฐบาลต้องดูว่าข้อมูลเป็นอย่างไร
เมื่อถามถึงกรณีที่มีนักลงทุนญี่ปุ่นสอบถามเรื่องการที่ชาวต่างชาติสามารถมีสิทธิในการถือครองที่ดินใน99 ปี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องการถือครองที่ดิน ตามที่เราติดตามประเมินมาสิ่งสำคัญคือ การสร้างความแน่นอนในการบังคับใช้ต่างๆ สิ่งที่เป็นความกังวลหรือเป็นปัญหาของนักลงทุนคือ ไม่มั่นใจว่าไทยบังคับใช้กฎหมายอย่างไรในการการถือครองที่ดิน เช่น คอนโดมิเนียม กติกาตามที่เรียกร้องหลายอย่าง ซึ่งตนไม่เชื่อว่าจะสามารถตอบสนองได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือ เป็นกติกาที่ชัดเจนแน่นอนไม่ให้เกิดช่องโหว่ เป็นช่องว่างการทุจริต
เมื่อถามว่าจะมีการแก้กฎหมายเรื่องดังกล่าวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เป็นข้อเรียกร้องที่ทราบมานานแล้ว แต่ตนดูจากหลายกรณีแล้ว นักธุรกิจจำนวนมากจำนวนปีอาจจะไม่สำคัญว่าเวลาเขียนกฎหมายแล้วปฏิบัติเป็นอย่างไร เพราะเจอปัญหาอยู่เรื่อยๆ เมื่อถามว่า นายกฯจะเน้นเรื่องเกี่ยวกับธรรมาภิบาลอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นหัวใจสำคัญของความสามารถ และจะทำให้เกิดกับข้าราชการ รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนต้องช่วยประมวลปัญหาเหล่านี้เนื่องจากมีความใกล้ชิดนักลงทุนอยู่แล้ว อีกทั้ง กรอ. น่าจะสะท้อนบทบาทตรงนี้ให้ได้ ว่ายังมีอะไรที่ติดขัดในเชิงปฏิบัติเพื่อจะได้แก้ไขต่อไป
“มาร์ค” ลั่นยึดหลักธรรมาภิบาล ย้ำเดินหน้า “เมกะโปรเจกต์”แน่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการปาฐกถาครั้ง นี้นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวกับนักลงทุนชาวต่างชาติในแถบเอเชีย เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น จีน ส่วนประเทศตะวันตก เช่น อเมริกาและประเทศแถบทางยุโรป อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อนักลงทุนใจความตอนหนึ่งว่า ในฐานะรัฐบาลให้ความเชื่อมั่นด้านธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ แม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกก็ตาม แต่ไทยสามารถขยายตัวและอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจโลกได้ ซึ่งถือว่าไทยสามารถรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ตัดสินใจดำเนินนโยบายด้านพลังงานทางเลือก ด้านอุตสาหกรรม และการบริการ ด้านการท่องเที่ยว ด้านแรงงาน รวมไปถึงการส่งออก ทั้งนี้ตนให้ความสำคัญกับการศึกษาเปิดขยายโอกาสทางการศึกษาโดยเฉพาะการคำนึงการปฏิรูปการศึกษา และขอให้ความเชื่อมั่นว่า จะสามารถเชื่อมโยงภาคเอกชนและภาคธุรกิจด้วยการนำ เรื่อง อาชีวะศึกษาเข้ามาฝึกอาชีพเพื่อป้องกันการว่างงานและการพัฒนาด้านอาชีพเพื่อลดภาวะการปลดแรงงาน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนขอให้ความมั่นใจว่าโครงการเมกะโปรเจกต์จะยังดำเนินต่อไป ทั้งโครงการผันน้ำ โครงการต่างๆ ด้านขนส่งมวลชน แต่ขณะนี้รัฐบาลจะดำเนินการมาตรการเร่งด่วนด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจมีผลกระทบ อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการเมกะโปรเจกต์ ทาง รมว.คลังจะพิจารณาต่อไปในโครงการระยะกลางและระยะยาว
แจงเป็นรัฐบาล 12 วันไม่ปล่อยเวลาเปล่าประโยชน์ พร้อมอัดฉีดงบกว่าแสนล้านหวัง “จีดีพี” ฟื้น
“เราเป็นรัฐบาลมา 12 วัน ยืนยันว่าเราไม่ปล่อยให้เวลาเปล่าประโยชน์ หลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว รัฐบาลได้อนุมัติแผนต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2550 และดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งแผนงบประมาณกลางปี จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวันที่ 28 ม.ค. ส่วนการเสนอเพื่อพิจารณากฎหมายอื่นๆภายในเดือน มี.ค.-เม.ย. แต่เวลานี้ประเด็นสำคัญของรัฐบาลคือ ต้องทำอย่างไรให้คนมีกำลังซื้อ เท่าที่ศึกษาคู่ค้าอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปต่างก็มีปัญหา ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี ก็มีผล สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ ทำอย่างไรให้คนไทยของเราสามารถใช้จ่ายได้ต่อไป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ได้ประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อขอเสนองบประมาณใหญ่กว่าแสนล้านบาท โดยจะไม่ให้ผิดระเบียบวินัยทางการเงิน การคลัง เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของจีดีพีในไตรมาสที่ 1-2 นอกจากนี้ยังมีแผนรองรับการแก้ไขปัญหาหากเกิดวิกฤติขึ้นในไตรมาส 3-4 ชี้ให้เห็นว่า แผนงานทั้งหมดของรัฐบาลจะทำให้การเบิกจ่ายเงินอย่างมีเป้า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลยังมีมาตรการแจกเงิน 2,000 บาท สำหรับคนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท แม้ว่าจะมีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก แต่ก็ถือว่าตนได้ศึกษาจากประสบการณ์ในหลายประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกระตุ้นให้คนใช้จ่ายเงิน อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนระยะยาวจะมีการกู้เงินจากภายนอกเพื่อกระตุ้นในมาตรการระยะยาว
ยันไม่เลือกข้าง-เลือกสีทำงานให้คนไทยทุกคน เชื่อเกิดสมานฉันท์
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึงการเมืองไทยว่า มีคนแสดงความเป็นห่วงถึงเรื่องการเมืองระยะสั้นๆ ซึ่งตนคิดว่า ระยะสั้นที่ว่านั้นรัฐบาลเข้ามาบริหารงานประเทศได้เพียง 2-3 สัปดาห์ก็ถือว่าประเทศมาได้ไกลแล้ว แม้จะมีการแบ่งแยกหรือมีความขัดแย้งอยู่บ้างแต่เชื่อมั่นว่า จะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ภายหลังการเลือกตั้งซ่อมที่พรรคร่วมรัฐบาลได้รับการเลือกตั้งมาอย่างล้นหลามทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น และตนให้การยืนยันว่าจะมีการสร้างความสมานฉันท์สอดคล้องกับความให้ความยุติธรรม ไม่ได้เลือกข้าง เลือกสี และเร็วๆนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปทางการเมืองเชิญชวนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และสุดท้ายจะนำไปสู่ความยุติธรรม เพราะรัฐบาลทำงานให้กับคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีไหน จะทำงานเพื่อคนทุกคน ไม่ว่าเขาจะสนับสนุนตนหรือไม่ก็ตาม และแน่ใจว่าจะเกิดความสมานฉันท์อย่างแน่นอน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลทำในสิ่งที่ถูกต้อง และจะนำประเทศไทยกลับคืนสู่การเป็นแผ่นดินแห่งโอกาส แผ่นดินแห่งการให้อภัย และเป็นแผ่นดินแห่งสยามเมืองยิ้ม ที่ผ่านมานั้นตนได้พบกับทูตทั้ง 93 ประเทศภายหลังมีการประชุมและพูดคุยกัน นอกจากตนจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม ที่เมืองดาวอส แล้วนั้นจะนำเรื่องที่ได้พูดกับนักลงทุนในวันนี้ไปพูดในเวทีโลกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในต้นเดือน ก.พ.นี้ ตนจะเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า ตนขอยืนยันว่า ในช่วง 2-3 เดือนนี้แนวทางประเทศจะชัดเจน ความไม่แน่นอนจะลบไปหมด จะลบไปอย่างแน่นอน ทั้งนี้ตนเชื่อว่า นักลงทุนเป็นผู้ผลักดันประเทศ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุนที่รัฐบาลคอยให้การสนับสนุน และเชื่อมั่นว่าจะสามารถขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองต่อประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรในช่วงถามตอบมีนักลงทุนจากอินเดีย และญี่ปุ่นให้ความสนใจเกี่ยวกับการการลดภาษีเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการลงทุนรวมถึงการเลิกจ้างแรงงาน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้กล่าวตอบในประเด็นนี้ว่า ไทยมีมาตรการต่างๆ เพื่อรักษาสภาพคล่อง สามารถให้ระบบการเงินหมุนเวียนได้ ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยนั้นได้ให้สถาบันการเงินของรัฐประเมินความเสี่ยง สำหรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางภาษีจะจัดระบบภาษีที่สามารถแข่งขันได้ ขณะเดียวกันก็จะพิจารณาเรื่องภาษีการถือครองที่ดิน และภาษีน้ำมัน ได้ให้รมว.คลังพิจารณาแล้ว อีกทั้งให้บีโอไอพิจารณาหาช่องทางช่วยเหลือแล้ว ส่วนการลดภาวะการเลิกจ้างแรงงานนั้น ตนได้ให้กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมดูแลอย่างใกล้ชิด