xs
xsm
sm
md
lg

มาร์คเดินสายพบตปท.เตรียมอัดฉีดศก.รอบ2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - “อภิสิทธิ์” ใช้เวทีนายกฯ พบนักลงทุนไทย-เทศ ยืนยันโอกาสการลงทุน ฟุ้งไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่พร้อมจะรองรับวิกฤติด้านอาหารและพลังงานที่จะกลับมาอีกครั้งเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เผยจุดเด่นภาคการผลิตไทยเข้มแข็ง มีความหลากหลาย พร้อมหนุนภาคท่องเที่ยวและบริการมากขึ้น ลั่นมีก๊อก 2 รับมือหากเศรษฐกิจไตรมาส 3-4 ดึงงบปี ‘53มาใช้ก่อน พร้อมโรดโชว์ญี่ปุ่น 6 ก.พ.ก่อนไปจีนตอกย้ำความเชื่อมั่นต่างชาติ ส่วนปัจจัยการเมืองเชื่ออีก 2-3 เดือนความไม่แน่นอนจะหมดไป

วานนี้ (19 ม.ค.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ได้จัดงานนายกรัฐมนตรีพบนักลงทุน โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติกว่า 650 คน พร้อมกับกล่าวปาฐกถาพิเศษภายใต้หัวข้อ “เราชนะสิ่งท้าทายได้อย่างไร”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การพัฒนาประเทศไทยที่ผ่านมาภาคเอกชนคือผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แท้จริง แม้ว่าไทยจะเผชิญกับเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองแต่การลงทุนนั้นมองระยะยาวดังนั้นรัฐบาลจึงยืนยันโอกาสของไทยในอนาคตนักลงทุนที่ลงทุนไทยแล้วขอให้อยู่ต่อไปเพราะก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกนั้นเริ่มจากวิกฤติอาหาร และพลังงาน ไม่ใช่การเงิน หรือ ตลาด ก่อน ซึ่งไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่มีภาคเกษตรที่เข้มแข็งที่สามารถพัฒนาพลังงานทางเลือกแล้วยังมีอาหารเหลือส่งออก ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัววิกฤติพลังงานและอาหารจะกลับมาอีกแต่ไทยจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้เพราะรัฐบาลได้เดินหน้าพัฒนาพลังงานทางเลือกเพื่อสร้างโอกาสภาคเกษตรแล้ว
“วิกฤติปี 2540 เราก็ฟื้นฟูเรียบร้อยแต่เราก็ไม่เคยทิ้งผู้ลงทุนเพราะเราเป็นมิตรกับตลาด เวลานี้ภาคการลงทุนไทยมีความหลากหลายมากหากฟากใดของโลกเกิดปัญหาเราเชื่อมั่นว่าจะรองรับวิกฤติต่างๆ ได้แน่นอน ส่วนภาคการบริการที่ผ่านมายังน้อยไปคงจะต้องเร่งสร้างการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการมากขึ้นเพราะนี่เป็นจุดแข็งของไทยและเชื่อว่านักลงทุนตัดสินใจมากไทยส่วนหนึ่งก็คือการบริการ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะเน้นการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาด้านอาชีวะที่จะแก้ปัญหาด้านแรงงานที่ไม่ตรงกับความต้องการภาคอุตสาหกรรม “นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ยืนยันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยการอัดฉีดงบประมาณกลางปีไปแล้วหลายประเทศก็ทำกันเพราะเป็นการสร้างแรงซื้อให้กับประชาชนระยะสั้นเพื่อประคองธุรกิจในทางอ้อมให้อยู่รอดด้วยและยังมีแผน 2 ในไตรมาส 3 และ4 หากเศรษฐกิจมีปัญหาที่อาจจะนำงบประมาณปี 2553 มาใช้ก่อน ส่วนระยะกลางและยาวก็จะต้องมาพิจาณาวงเงินเรื่องการลงทุนด้านเมกะโปรเจ็กต์ที่จะต้องกู้เงินจากต่างประเทศมาสนับสนุนเพราะการลงทุนใช้ระยะเวลาซึ่งคลังจะไปดูเรื่องนี้

***“มาร์ค” ยันลุยเมกะโปรเจกต์แน่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวกับนักลงทุนใจความตอนหนึ่งว่า ในฐานะรัฐบาลให้ความเชื่อมั่นด้านธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ แม้ว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกก็ตาม แต่ไทยสามารถขยายตัวและอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจโลกได้ ซึ่งถือว่าไทยสามารถรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกได้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้ตัดสินใจดำเนินนโยบายด้านพลังงานทางเลือก ด้านอุตสาหกรรม และการบริการ ด้านการท่องเที่ยว ด้านแรงงาน รวมไปถึงการส่งออก ทั้งนี้ตนให้ความสำคัญกับการศึกษาเปิดขยายโอกาสทางการศึกษาโดยเฉพาะการคำนึงการปฏิรูปการศึกษา และขอให้ความเชื่อมั่นว่า จะสามารถเชื่อมโยงภาคเอกชนและภาคธุรกิจด้วยการนำเรื่องอาชีวะศึกษาเข้ามาฝึกอาชีพเพื่อป้องกันการว่างงานและการพัฒนาด้านอาชีพเพื่อลดภาวะการปลดแรงงาน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนขอให้ความมั่นใจว่า โครงการเม็กกะโปรเจ็คจะยังดำเนินต่อไป ทั้งโครงการผันน้ำ โครงการต่างๆด้านขนส่งมวลชน แต่ขณะนี้รัฐบาลจะดำเนินการมาตรการเร่งด่วนด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจมีผลกระทบ อย่างไรก็ตามโครงการเม็กกะโปรเจ็ค ทางรมว.คลังจะพิจารณาต่อไปในโครงการระยะกลางและระยะยาว

***ยันไม่เลือกข้าง-เลือกสีทำงาน
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึงการเมืองไทยว่า มีคนแสดงความเป็นห่วงถึงเรื่องการเมืองระยะสั้นๆ ซึ่งตนคิดว่า ระยะสั้นที่ว่านั้นรัฐบาลเข้ามาบริหารงานประเทศได้เพียง 2- 3 สัปดาห์ก็ถือว่าประเทศมาได้ไกลแล้ว แม้จะมีการแบ่งแยกหรือมีความขัดแย้งอยู่บ้างแต่เชื่อมั่นว่า จะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ภายหลังการเลือกตั้งซ่อมที่พรรคร่วมรัฐบาลได้รับการเลือกตั้งมาอย่างล้นหลามทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น และตนให้การยืนยันว่า จะมีการสร้างความสมานฉันท์สอดคล้องกับความให้ความยุติธรรม ไม่ได้เลือกข้าง เลือกสี และเร็วๆนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปทางการเมืองเชิญชวนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และสุดท้ายจะนำไปสู่ความยุติธรรม เพราะรัฐบาลทำงานให้กับคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีไหน จะทำงานเพื่อคนทุกคน ไม่ว่าเขาจะสนับสนุนตนหรือไม่ก็ตาม และแน่ใจว่า จะเกิดความสมานฉันท์อย่างแน่นอน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลทำในสิ่งที่ถูกต้อง และจะนำประเทศไทยกลับคืนสู่การเป็นแผ่นดินแห่งโอกาส แผ่นดินแห่งการให้อภัย และเป็นแผ่นดินแห่งสยามเมืองยิ้ม ที่ผ่านมานั้นตนได้พบกับทูตทั้ง 93 ประเทศภายหลังมีการประชุมและพูดคุยกัน นอกจากตนจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม เวิลด์อีคโนมิค ฟอรัม ที่เมืองแดวอส แล้วนั้นจะนำเรื่องที่ได้พูดกับนักลงทุนในวันนี้ไปพูดในเวทีโลกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในต้นเดือนก.พ. นี้ ตนจะเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่น
“ขอยืนยันว่า ในช่วง 2-3 เดือนนี้แนวทางประเทศจะชัดเจน ความไม่แน่นอนจะลบไปหมด จะลบไปอย่างแน่นอน ทั้งนี้ตนเชื่อว่า นักลงทุนเป็นผู้ผลักดันประเทศ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุนที่รัฐบาลคอยให้การสนับสนุน และเชื่อมั่นว่า จะสามารถขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองต่อประเทศ”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งด้วยว่า เงินกู้นอกประเทศจะใช้เท่าไร มันจะถูกจำกัดโดยสัดส่วนหนี้ที่เหมาะสม และเราต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ถ้าเป็นการกู้หนี้จากต่างประเทศ กระทรวงการคลังจะดูแหล่งเงินทุนที่จะมาเสริมได้ในคราวที่มีความจำเป็น

**อัดงบกว่าแสนล้านฟื้นจีดีพี
“เราเป็นรัฐบาลมา 12 วัน ยืนยันว่า เราไม่ปล่อยให้เวลาเปล่าประโยชน์ หลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว รัฐบาลได้อนุมัติแผนต่างๆเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2550 และดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งแผนงบประมาณกลางปี จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวันที่ 28 ม.ค. ส่วนการเสนอเพื่อพิจารณากฎหมายอื่นๆภายในเดือน มี.ค.-เม.ย. แต่เวลานี้ประเด็นสำคัญของรัฐบาลคือ ต้องทำอย่างไรให้คนมีกำลังซื้อ เท่าที่ศึกษาคู่ค้าอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปต่างก็มีปัญหา ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี ก็มีผล สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ ทำอย่างไรให้คนไทยของเราสามารถใช้จ่ายได้ต่อไป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตามได้ประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อขอเสนองบประมาณใหญ่กว่า แสนล้านบาทโดยจะไม่ให้ผิดระเบียบวินัยทางการเงิน การคลัง เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของจีดีพีในไตรมาสที่ 1-2 ซึ่งแผนงานทั้งหมดของรัฐบาลจะทำให้การเบิกจ่ายเงินอย่างมีเป้า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลยังมีมาตรการแจกเงิน2,000บาท สำหรับคนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท แม้ว่าจะมีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก แต่ก็ถือว่า ตนได้ศึกษาจากประสบการณ์ในหลายประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกระตุ้นให้คนใช้จ่ายเงิน อย่างไรก็ตามสำหรับแผนระยะยาวจะมีการกู้เงินจากภายนอกเพื่อกระตุ้นในมาตรการระยะยาว

***ตั้งทีม ศก.หาข้อมูลเชิงลึก
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี เห็นชอบ ที่จะให้มีการตั้งทีมที่ให้ข้อมูลเชิงลึกในด้านต่าง ๆ มาช่วยงานทีมงานโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ข้อมูลรอบด้าน โดยเฉพาะโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล เริ่มแรกจะเป็นทีมงานเศรษฐกิจ มีทีมงานจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มาช่วย เพื่อให้ข้อมูลในทุกด้านกับรัฐบาล สื่อมวลชน และประชาชน ขณะเดียวกันหากมีปัญหาด้านอื่น ๆ ก็อาจจะมีการตั้งทีมในลักษณะเดียวกันด้วย ทั้งในส่วนของความมั่นคงและต่างประเทศ
ทั้งนี้นายกฯ พร้อมทั้ง นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ เห็นชอบแต่งตั้งทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจเพิ่มเติม ประกอบด้วย ดร. ปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (สศช.) , นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค โฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) , นายกอร์ปศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน และดูแลฝ่ายพัฒนากลุยทธ์ สายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษานโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เป็นทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ป้อนข้อมูลในเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างรอบด้าน
“ทีมที่ปรึกษาชุดนี้จะเข้ามาถ่ายทอดและป้อนข้อมูลทางเศรษฐกิจ ผ่านแนวคิดที่ได้มีการพูดคุยกับท่านนายกฯ และ ท่านรองกอร์ปศักดิ์ ว่าแต่ละนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลดำเนินการไป”
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันเดียวกันนี้ นายเคียวจิ โคมาจิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย นำนาย Michitaka Nakatomi ประธานกรรมการองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่นหรือ JETRO-Japan External Trade Organization และ นาย Fukujiro Yamabe ประธานหอการค้าญี่ปุ่นประจำกรุงเทพฯพร้อมคณะ เข้าเยี่ยมคารวะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ณ ห้อง Library 1918 โรงแรมดุสิตธานี
นาย Michitaka Nakatomi ได้กล่าวแสดงความยินดีต่อการเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี และชื่นชมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ และเชื่อว่า รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของนายกรัฐมนตรีจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น พร้อมกับความมีเสถียรภาพทางการเมือง ขณะที่นาย Fukujiro Yamabe ประธานหอการค้าญี่ปุ่นฯ แสดงความห่วงกังวลต่อผลกระทบต่อภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยและประสงค์ให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงที่ประสบกับความยากลำบากนี้ด้วย

** นายกฯ บินญี่ปุ่น 6 ก.พ.ดึงเชื่อมั่น
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า วันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้บีโอไอจะเดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะเพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนยังประเทศไทยมากที่สุดในปัจจุบัน หลังจากนั้นจะเดินทางไปยังประเทศจีนต่อในช่วงปลายเดือนก.พ.หรือต้นมี.ค.

**ปรับสิทธิประโยชน์เพิ่ม
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ไม่หวังว่าจะทำให้การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาทันทีเพราะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงมีผลต่อความสามารถในการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทแม่ แต่จะส่งสัญญาณให้บริษัทแม่ในต่างประเทศรู้ว่าไทยมีความพร้อมในการเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ ส่วนสิทธิประโยชน์บีโอไอกำลังทบทวนรายละเอียดของแต่ละกิจการเช่น สิทธิประโยชน์ของวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมหรือเอสเอ็มอีทั้งหมด เช่นเดียวกับโครงการเมกะโปรเจกต์ที่จะต้องดูเพิ่มเติม ซึ่งเป้าหมายการลงทุนปีนี้อยู่ที่ 6.5 แสนล้านบาท

***ถกร่วมนายกฯ 21 ม.ค.นี้
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า วันที่ 27 ม.ค. คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะจัดเวทีสัมมนาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นโดยในงานได้เชิญนายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อทั้งนักลงทุนและฑูตานุฑูตต่างๆ ซึ่งเห็นว่าการโรดโชว์จะต้องทำให้มากขึ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ทุกประเทศต่างก็ต้องการดึงการลงทุน
นอกจากนี้วันที่ 21 ม.ค.นี้นายกรัฐมนตรีได้เชิญภาคเอกชนหารือในเวทีคณะกรรมการร่วมรัฐและเอกชนหรือกรอ.ที่นายกเป็นประธานซึ่งจะได้มีการหารือถึงประเด็นเศรษฐกิจและข้อเสนอเอกชน โดยสิ่งที่ส.อ.ท.เห็นว่ามาตรการที่รัฐควรทำคือการเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานและฝีมือแรงงานเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวก็จะรองรับได้ทันที ประกอบกับบีโอไอควรเร่งเจาะตลาดเฉพาะกิจมากขึ้น
“นายกรัฐมนตรีควรออกมาให้ข้อมูลนักลงทุนบ่อยครั้งขึ้น เพราะจะได้ผลทางจิตใจ และไม่เห็นผลในการลงทุนทันที แต่จะเห็นในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ไป หรือหลังจากนายกรัฐมนตรีเดินทางไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่น และจากการพูดคุยกับบีโอไอ ทราบว่าจะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงที่จะมาลงทุนในไทยอยู่แล้ว”
ส่วนงบกระตุ้นเศรษฐกิจเชื่อว่าในอนาคตจะมีเพิ่มเติมอีก ทั้งนี้ ควรจะมีการช่วยเหลือผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วย สำหรับเป้าหมายการขอรับบีโอไอปีนี้ 650,000 ล้านบาท คงเป็นไปได้ยาก ต้องใช้ความพยายามมาก เพราะนักลงทุนญี่ปุ่นและยุโรปต่างมีปัญหาเช่นกัน ดังนั้น หากได้ยอด 400,000 ล้านบาท เท่ากับปี 2551 ก็ถือว่าน่าพอใจ และเงินลงทุนโดยตรงหากไม่ลดลงจากปีก่อนก็ถือว่าน่าพอใจเช่นกัน ทั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจคงต้องทำงานหนัก และต้องโรดโชว์ให้มากขึ้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น