ปส.จัดสัมมนาเชิงรุกชี้ความสำคัญการตรวจปริมาณรังสีในร่างกายสำหรับคนทำงานข้องเกี่ยวกับรังสีไม่ปิดผนึก ระบุรังสีเข้าสู่ร่างกายแล้วทำอันตรายโดยไม่รู้ตัวและตรวจเจอเมื่อทำลายระบบจนถึงโครโมโซม ทำให้มีแนวโน้มเป็นมะเร็งได้
กลุ่มงานประเมินค่าปริมาณรังสีจากภายในร่างกาย สำนักงานสนับสนุนการกำกับดูแลความปลอดภัยจากพลังงานปรมาณู (สส.) สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) จัดสัมมนาการสร้างความตระหนักเชิงรุกในการตรวจวัดปริมาณรังสีจากภายในร่างกาย สำหรับผู้ที่งานกับสารรังสีชนิดไม่เปิดผนึกในเขตภาคกลาง ณ โรงแรมรามาการ์เด้นท์ โดยกำหนดจัดสัมมนาขึ้น 3 ครั้งคือครั้งที่ 1 วันที่ 18-19 ก.พ. ครั้งที่ 2 วันที่ 31 มี.ค.-1 เม.ย. และครั้งที่ 3 วันที่ 6-7 พ.ค.51
ทั้งนี้ นางดารุณี พีขุนทด ผู้อำนวยการประเมินค่าปริมาณรังสีจากภายในร่างกาย ปส.ซึ่งเป็นผู้บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการตรวจวัดปริมาณรังสีจากภายในร่างกายกล่าวถึงการจัดสัมมนาดังกล่าวว่า อยากให้ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารรังสีโดยเฉพาะที่ไม่ปิดผนึกนั้นได้ทราบถึงความสำคัญในการตรวจดูว่ามีสารรังสีเข้าสูร่างกายในปริมาณมากน้อยเพียงใด รวมถึงตรวจและประเมินเองได้คร่าวๆ ได้ว่าร่างกายได้รับผลกระทบจากรังสีไปเท่าไหร่ เนื่องจากถ้าไม่ตรวจจะไม่ทราบเลยว่ามีสารรังสีเข้าสู่ร่างกายหรือไม่เพราะประสาทไม่สามารถรับรู้ได้ ไม่ร้อน ไม่หนาว แต่รังสีจะทำลายอวัยวะเรื่อยๆ ซึ่งจะตรวจเจอเมื่อมีการทำลายมากแล้วถึงขั้นทำลายระบบโครโมโซมทำให้มีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งได้
"ผู้ที่ทำงานกับสารรังสีที่ไม่ปิดผนึกนั้นส่วนมากเป็นบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากและมีบุคลากรทางด้านศึกษาวิจัยอยู่น้อย โดยสารรังสีที่ใช้งานบ่อยๆ คือ ไอโอดีน-131 ที่ใช้ในการรักษาต่อมไทรอยด์เป็นพิษซึ่งคนไข้ยินยอมที่จะได้รับรังสีอยู่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่ผู้ให้ยาแก้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รับสารรังสีกล่าว จึงจำเป็นต้องตรวจดูว่าได้รับบ้างหรือไม่ โดยการใช้ยาผู้ป่วยนั้นเป็นแบบเปิดคือให้ผู้ป่วยกินซึ่งสารรังสีมีโอกาสฟุ้งกระจายและไอโอดีนก็ฟุ้งได้ง่าย"
นางดารุณีกล่าวพร้อมระบุว่า ปส.เป็นแห่งเดียวในเมืองไทยที่สามารถตรวจวัดสารรังสีที่เข้าสู่ร่างกาย โดยมีขีดความสามารถวัดปริมาณรังสีที่เข้าสู่อวัยวะต่างๆ ได้ 10 นาทีต่อคน ซึ่งที่ผ่านมาได้ตรวจวัดปริมาณสารรังสีให้กับบุคลากรภายในสำนักงานที่มีหน้าที่ผลิตสารไอโซโทป แต่บุคลากรภายนอกที่เกี่ยวข้องกับสารรังสีกลับไม่ได้ตรวจวัดเลย จึงจัดสัมมนาขึ้นเพื่อให้เกิดความตระหนัก
ปริมาณรังสีในร่างกายที่บุคลากรซึ่งทำงานกับสารรังสีจะรับได้คือไม่เกินปีละ 20 มิลลิซีเวิร์ต (mSv) ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยจากปริมาณที่จะรับได้ 100 มิลลิซีเวิร์ตในเวลา 5 ปี ซึ่งหากได้รับสารรังสีถึงปริมาณนี้ก็ไม่สามารถทำงานเกี่ยวกับสารรังสีได้อีก เนื่องจากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซมแล้วมีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งได้ โดยขีดจำกัดสูงสุดใน 1 ปีไม่ควรเกิน 50 มิลลิซีเวิร์ต และหากปีแรกได้รับสารรังสี 30 มิลลิซีเวิร์ต ปีถัดไปก็สามารถรับสารรังสีได้เพียง 10 มิลลิซีเวิร์ต
ด้าน นางนันทวรรณ ยะอนันต์ เจ้าหน้าที่จากศูนย์จัดการกากกัมมันตรังสี สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งแห่งชาติ (สทน.) ซึ่งเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ด้วย กล่าวว่าการทำงานของเธอนั้นต้องสัมผัสกับสารรังสีทุกชนิดนี้จากการจำกัดขยะที่เป็นสารรังสีซึ่งส่วนใหญ่มาจากโรงพยาบาลที่ใช้สารรังสีในการรักษาคนไข้ โดยจะคัดแยกตามความแรงรังสี ครึ่งชีวิต และสถานะของกากกัมมันตรังสีนั้นๆ ทั้งนี้ผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับสารรังสีมีความจำเป็นต้องตระหนักและระวังในการป้องกันตัวเองจากสารรังสี และต้องตรวจปริมาณสารที่เข้าสู่ร่างกายเพื่อเป็นบันทึกการทำงานของคนที่ทำงานกับสารรังสีด้วย
"แม้เราไม่ได้ทำงานในเหมืองซึ่งทำให้ได้รับสารรังสีจากธรรมชาติเป็นเวลานาน โดยเราป้องกันตัวเองอยู่แล้วในการทำงานแต่ก็ควรทราบวิธีในการตรวจ เพราะเป็นอันตรายที่มองไม่เห็น" นางนันทวรรณกล่าว