วช.จัดประชุม 4 ภาค ระดมสมองจัดลำดับวาระงานวิจัยเร่งด่วน 10 กลุ่มงาน พร้อมตั้งกองทุนวิจัยร่วมรัฐ-เอกชนในอัตราส่วนการลงทุน 1 : 1 เลขาฯ วช.เผยเป้าหมายเพิ่มงบวิจัยเป็น 0.5% ของจีดีพี และเพิ่มนักวิจัยเพิ่มอีก 1.3 คนต่อประชากร 10,000 คน
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดการประชุมระดมความคิด "การผลักดันนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ (พ.ศ.2551 -2553) สู่การปฏิบัติแบบมีส่วนร่วมภาคกลาง" ขึ้นเมื่อวันที่ 6 ก.พ.51 ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารหน่วยงานวิจัยภาครัฐเข้าร่วมการประชุมกว่า 400 คน
ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการวช. กล่าวว่า จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 8 พ.ค.50 ได้มอบหมายให้ วช.มีหน้าที่บริหารงานวิจัยของประเทศโดยองค์รวมและการมีส่วนร่วมเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 และกรอบการวิจัยของประเทศ วช.จึงการประชุมดังกล่าวขึ้นในแต่ละภูมิภาค รวม 4 ครั้ง คือในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้
จุดประสงค์ของการประชุมเพื่อจัดลำดับความสำคัญของยุทธศาสตร์การวิจัย 5 ยุทธศาสตร์ 10 ด้านการวิจัยเร่งด่วน ก่อนส่งให้ ครม.พิจารณาภายใน มี.ค.50 เพื่อให้ต่อไปภาคการวิจัยของไทยจะมีการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมตามความต้องการของท้องถิ่นและความพร้อมของกลุ่มวิจัย
ขณะที่การวิจัยทั้ง 10 ด้านถือเป็นเรื่องเร่งด่วนจะดำเนินการพร้อมๆ กันไป ซึ่ง วช.จะเป็นแกนกลางในการรายงานความก้าวหน้าของงานวิจัยจากทุกหน่วยวิจัยทั่วประเทศเพื่อรายงานต่อ ครม.ตลอดจนสาธารณชนได้รับทราบ
เป้าหมายเพื่อการผลักดันงบประมาณให้เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันที่ 0.24% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไปเป็น 0.5% ของจีดีพีภายใน 3 ปี และตั้งเป้าหมายให้มีจำนวนนักวิจัยเพิ่มขึ้นจาก 6.7 คน/ประชากรหมื่นคนไปสู่อัตราส่วน 8 คน/ประชากรหมื่นคนในระยะเวลาเดียวกัน
เลขาธิการ วช. เผยด้วยว่า ภายในแผนงานยังมีการกล่าวถึงการจัดตั้งกองทุนวิจัยร่วมระหว่างเอกชนและหน่วยงานวิจัยภาครัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคเอกชนในการวิจัยสาขาเร่งด่วนในอัตราส่วนการลงทุน 1 ต่อ 1 อาทิ การวิจัยพัฒนาเรื่องปาล์มน้ำมันและการเลี้ยงกุ้ง ซึ่งหากเอกชนรายใดแสดงความจำนง วช.ก็ยินดีเป็นตัวกลางประสานงานให้
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การวิจัยทั้ง 5 ยุทธศาสตร์ประกอบด้วย 1.การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ 2.การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางสังคม 3.การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาทางวิทยาการและทรัพยากรบุคคล
4.การเสริมสร้างและพัฒนาทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 5.การบริหารจัดการความรู้ ผลงานวิจัย ทรัพยากร และภูมิปัญญาของประเทศสู่การใช้ประโยชน์ด้วยยุทธวิธีที่เหมาะสม
ส่วนกลุ่มวิจัยเร่งด่วน 10 กลุ่มงานได้แก่ 1.การประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียง 2.ความมั่นคงของรัฐและการเสริมสร้างธรรมาภิบาล 3.การปฏิรูปการศึกษา 4.การจัดการน้ำ 5.การพัฒนาพลังงานทดแทน 6.การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออกและลดการนำเข้า
7.การป้องกันโรคและการรักษาสุขภาพ 8.การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพ 9.เทคโนโลยีใหม่และเทคโนโลยีที่สำคัญเพื่ออุตสาหกรรม และ 10.การบริหารจัดการการท่องเที่ยว
