อธิบดีกรมสุขภาพจิต รับลูก "อนุทิน" เร่งทำความเข้าใจสังคม ไม่ควรใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ทั้งทางกาย วาจา และใจ ย้ำได้ความ "สะใจ" แค่ช่วยลดโกรธ แต่ไม่แก้ปัญหา ซ้ำยังเร้าปัญหาใหม่ ต้องลดอคติเบรกแชร์เรื่องลบ ห่วงหลัง "โควิด" เจอ "น้ำท่วม" ซ้ำ ทำคนเครียด ซึมเศร้า เป็นต้นตอก่อความรุนแรงได้
จากกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สั่งการให้อธิบดีกรมสุขภาพจิต เร่งทำความเข้าใจสังคมเรื่องไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา หลังมีกรณีการชกนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า น้อมรับข้อสั่งการมาแล้ว ซึ่งเรายึดถืออยู่แล้วว่าความรุนแรงไม่ใช่คำตอบของการแก้ปัญหาใดๆ ซึ่งความรุนแรงไม่ได้หมายเพียงความรุนแรงทางร่างกาย ยังมีการใช้วาจา คำพูดส่อเสียดก้าวร้าว ก็เป็นตัวความรุนแรงโดยตรงและเป็นตัวยั่วยุความรุนแรงด้วย และการกระทำความรุนแรงด้านจิตใจ เช่น การละเลย ละทิ้ง กักขังหน่วงเหนี่ยวก็เป็นความรุนแรงจิตใจ ภาพรวมจึงมี 3 มิติ คือ กาย วาจา และจิตใจ
ถามถึงกรณีคนสนับสนุนการใช้ความรุนแรง เพราะรู้สึกสะใจ พญ.อัมพรกล่าวว่า เป็นการสนับสนุนด้วยคำว่าสะใจ ซึ่งคำว่าสะใจไม่ได้แก้ปัญหา แต่ทำให้คนๆ นั้นรู้สึกว่าความโกรธได้คลายตัวลงบ้าง แต่เป็นการคลายความโกรธ แต่อาจเร้าความโกรธระลอกใหม่ กลุ่มคนใหม่ๆ หรือกลุ่มเดิมขึ้นมา ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เป็นการแก้ปัญหาอารมณ์ด้านลบบางอย่างเพื่อสร้างอารมณ์ด้านลบใหม่ๆ ขึ้นมาและสร้างปัญหาอื่นๆ ขึ้นมาด้วย ถ้าเราจะแก้ปัญหา ส่วนใหญ่ไม่ได้แก้ที่ความรุนแรง แต่แก้ที่สติปัญญามากกว่า
ถามว่ากรณีคนที่เราชอบก็บอกว่าไม่สนับสนุนความรุนแรง แต่เป็นคนที่เราไม่ชอบก็บอกว่าสมควรแล้ว สะใจ ต้องทำความเข้าใจอย่างไร พญ.อัมพรกล่าวว่า อาจจะเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่มีอคติอยู่ คนไหนที่เรารักก็มีคะแนนบวก แต่ว่าถ้าเรามีสติก็ควรจะก้าวข้ามอคติลักษณะนั้นด้วย คงไม่ได้ทำได้ทุกคนหรือทุกสถานการณ์ แต่ถ้าทำได้สังคมจะน่าอยู่มากขึ้น ซึ่งอาจจะต้องใช้สติให้มาก ก็จะแก้ปัญหาได้ดีขึ้น ผลกระทบด้านลบจะน้อยลง เกิดผลด้านบวกมากขึ้น เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ก็สามารถทำได้
ถามต่อว่าคนใช้โซเชียลมีเดียแค่ปลายนิ้วในการแสดงการสนับสนุนหรือสะใจต่อความรุนแรง จะเบรกพฤติกรรมแบบนี้อย่างไร พญ.อัมพรกล่าวว่า ต้องเบรกด้วยการไม่แชร์สิ่งที่ทำให้เกิดผลด้านลบ ในทางกลับกัน เลือกนำเสนอเพิ่มพื้นที่การสื่อสารที่เป็นบวก อาจจะไม่น่าสนใจแต่มีผลดีมากกว่าเยอะ
ถามว่ามีการประเมินสภาพจิตใจคนไทยในช่วงการเมืองรุนแรงหรือไม่ พญ.อัมพรกล่าวว่า โดยทั่วไปเราสังเกตว่า ประเด็นทางการเมืองไม่ค่อยมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตคนไทย อาจจะเห้นต่าง โมโห แต่ไม่ได้เป็นอารมณ์ที่ ทำให้เครียดกับการเมืองขนาดนั้น แต่สิ่งที่มีผลกับสุขภาพจิตคนไทยมักเป็นสถานการณ์ความสูญเสียหรือความเจ็บปวดที่รุนแรง อย่างกรณีคุณแตงโม หรือโควิด จะเห็นว่าความเครียดเยอะขึ้น ส่วนสถานการณ์ของหนองบัวลำภูครั้งนี้เรากำลังวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ เพราะอยากจะเห็นข้อมูลเปรียบเทียบของทั้งประเทศกับจังหวัดและภูมิภาคด้วย แต่มีแนวโน้มว่าน่าจะมีผลกระทบต่อความรู้สึกด้านความเครียด และประจวบกับมาพะร้อมกับน้ำท่วม ช่วง 2-3 สัปดาห์นี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างหนักหนาสำหรับประเทศไทย จึงต้องพยายามเพิ่มพื้นที่เรื่องดีๆ กันหน่อย มิเช่นนั้นเจอแต่เรื่องเป็นลบ เปิดข่าวเจอทะเลาะ ทำร้ายกัน สังคมก็จะมีความสุขน้อยลง
เมื่อถามว่าประเมินจากกระแสตอนนี้ความรุนแรงของบ้านเราเป็นอย่างไร พญ.อัมพรกล่าวว่า กรมสุขภาพจิตประเมินเรื่องความรุนแรงในเชิงสุขภาพจิตและจิตเวชเราค่อนข้างเป็นห่วง หลังสถานการณ์โควิด ความเครียดและซึมเศร้าจะมากขึ้นอยู่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเร่งเร้าความรุนแรงทั้งต่อตนเองและคนอื่น จากโควิดก็หนักหนาเอาการ และมาเจอน้ำท่วมซ้ำเติม เจอความรุนแรงก้าวร้าวมากๆ ในชุมชนอย่างนี้ แค่ใช้ความรู้สึกไม่ต้องใช้กราฟก็รู้สึกว่าหนักอยู่ เราต้องใส่ใจดูแลกันและกันมากขึ้นในทุกกลุ่มวัย ซึ่งได้รับผลกระทบตรงนี้ทั้งหมด
ส่วนการดูแลสุขภาพจิตเราเองเมื่อเจอความเครียด ต้องรู้ให้เร็วว่าเครียดจากอะไร ง่ายที่สุดคือจัดการกับต้นเหตุความเครียดนั้น ถ้ายังจัดการไม่ได้ถอยตัวเองออกมา ดูหนังฟังเพลง เล่นกีฬาอะไรก็ได้ พอได้พักความรู้สึกชุลมุนกับความเครียด เราจะแข็งแรงขึ้น และมองปัญหาด้วยความเข้าใจมากขึ้น ถ้าแก้ได้อาจแก้ได้ดีกว่าเดิม หรือหากแก้ไม่ได้ก็อาจจะเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง หรือหาตัวช่วยอื่นเข้ามาหรือเวลาเป็นตัวคลี่คลายปัญหา ไม่มีอะไรที่เราก้าวข้ามไม่ได้
ถามว่าคนทั่วไปเปิดใจเข้าหาจิตแพทย์มากขึ้นหรือยัง พญ.อัมพรกล่าวว่า คนเปิดใจมากขึ้น เราดีใจที่ทุกคนมองว่า เมื่อมีความทุกข์ เครียด หรือเจ็บป่วยทางจิต เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ จากการเดินเยี่ยมในชุมชนที่หนองบัวลำภู เมื่อบอกว่าเป็นจิตแพทย์เขาก็อยากเข้ามาปรึกษามาเล่าให้ฟัง