องค์การอนามัยโลกยังไม่ประกาศภาวะฉุกเฉิน "ไวรัสอู่ฮั่น" ประชุมหารือเย็นนี้ร่วม สธ.ไทยและต่างประเทศ ว่าต้องยกระดับหรือไม่ "อนุทิน" ชี้ผู้เสียชีวิตที่จีนอาจมาจากโรคแทรก ไม่ใช่เชื้อไวรัสโดยตรง ผู้เชี่ยวชาญชี้ความรุนแรงของเชื้อยังระบุไม่ได้ แต่ทำให้เข้า รพ. เตรียมวิเคราะห์ละเอียดสัปดาห์หน้า
วันนี้ (22 ม.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ติดต่อจากคนสู่คน และช่วงเทศกาลตรุษจีนจะมีคนจีนเดินทางไปทั่วประเทศและเดินทางไปยังต่างประเทศ ขณะที่จีนเริ่มพบผู้ป่วยในเมืองอื่น เช่น ปักกิ่ง เสิ่นเจิ้น และเซี่ยงไฮ้ ว่า เราสามารถรับมือได้ ดังนั้น เรื่องของการท่องเที่ยวก็เป็นเรื่องปกติ เรายินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน เพราะเราสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด และสัญญาณที่ดีคือผู้ป่วยทั้งหมดยังมาจากอู่ฮั่น ไม่ใช่มาจากที่อื่น แต่ก็ไม่ประมาท โดยคิดเผื่อไว้ก่อนเสมอ และเฝ้าระวังตลอด นอกจากนี้ เรายังมีการประสานกับทางการจีนและสายการบิน เรียกว่า คนจีนที่มาท่องเที่ยวไม่ว่าจะมาจากเมืองไหนก็ตาม จะได้รับแจ้งว่า หากมีอาการไม่พึงประสงค์ให้เข้ามายังสถานพยาบาล และบอกไปยังหัวหน้าทัวร์ ไกด์และบริษัททัวร์ให้รับทราบ และแจกการ์ดคิวอาร์โคดวิธีแนะนำปฏิบัติตัวให้แก่นักท่องเที่ยวจีนทุกคนไม่ว่าจะมาจากเมืองไหนก็ตาม ไม่เฉพาะแค่อู่ฮั่น โดยวันที่ 22 ม.ค. เวลา 18.00 น. องค์การอนามัยโลก (WHO) จะประชุมทางไกลร่วมกับ สธ.ไทยและอีกหลายประเทศ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างกัน ซึ่งหากองค์การอนามัยโลกประกาศยกระดับภาวะฉุกเฉิน อาจต้องดูนโยบายสาธารณสุขแต่ละประเทศด้วยว่าสามารถรับมือได้มากน้อยแค่ไหน อย่างของไทยก็อาจต้องหารือว่าถ้าเรายังคุมได้ ก็คงยังไม่ต้องถึงขั้นจับแยกตัวนักท่องเที่ยว เพราะการปิดกั้นอิสรภาพถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าจำเป็นต้องทำก็พร้อมปฏิบัติ
"ส่วนการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่จีนนั้น อาจจะเสียชีวิตจากโรคแทรก ไม่ได้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อย่าเพิ่งทึกทัก เพราะคนป่วยมีการติดเชื้อและมีโรคอื่นอยู่แล้ว ก็ไปกระทบและทำให้เสียชีวิตได้" นายอนุทินกล่าว
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัด สธ. กล่าวว่า ประชาคมโลกเมื่อพบสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคมาก องค์การอนามัยโลกจะมีการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ เหมือนอย่างกรณีโรคอีโบลาที่มีการเสียชีวิตจำนวนมากก็ประกาศ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการประกาศ ซึ่งหากมีการประกาศประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะต้องมีการเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังโรคเข้มข้นขึ้น โดยการประชุมองค์การอนามัยโลกในเย็นวันที่ 22 ม.ค. ก็จะพิจารณาประเด็นทางเทคนิค
เมื่อถามว่าโรคนี้รุนแรงมากน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับโรคติดต่อร้ายแรงอื่นๆ ที่ผ่านมา นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่า ต้องมาพิจาณณาดูว่าตอนนี้เรารู้และไม่รู้อะไร ที่เรารู้ตอนนี้คือเชื้อตัวนี้อยู่ในกลุ่มใกล้เคียงกับซาร์ส แต่สัมยโรคซาร์สกว่าจะทราบคนก็ตายไปหลายสิบคน ถือเป้นบทเตือนภัยเมื่อ 17 ปีที่แล้ว และยังจำกัดที่คนไปเมืองอู่ฮั่น ซึ่งกรณีคนที่มาจากเมืองอื่นของจีน แน่นอนว่าที่สนามบินไม่ได้มีการคัดกรอง ก็ย่อมผ่านเข้ามาได้ แต่หากมีอาการป่วย ก็ต้องมีการสอบถามว่ามีประวัติเดินทางไปยังอู่ฮั่นหรือไม่ ส่วนที่เรายังไม่รู้มีอีกมาก สถานการณ์ตอนนี้ผู้ป่วยก็เพิ่มขึ้นเรื่อย และเริ่มพบรายงานที่อื่น เช่น ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา แต่ยังเกี่ยวข้องกับอู่ฮั่นทั้งหมด ส่วนความรุนแรงยังตอบไม่ได้ แต่รุนแรงถึงขนาดต้องอยู่โรงพยาบาล แต่เมื่อดูจากผู้ป่วยของเรา 4 ราย เทียบกับจีนของเรายังเบากว่า ของจีนมีทั้งเสียชีวิต รุนแรงมาก รุนแรงน้อย เมื่อแตกต่างกันก็ต้องมีการวิเคราะห์ต่อไป โดยสัปดาห์หน้าจะมีการวิเคราะห์อย่างละเอียด แต่รุนแรงหรือไม่รุนแรงก็ต้องทำเหมือนรุนแรงไว้ก่อน ให้ถือว่าแพร่เชื้อได้ไว้ก่อน สำหรับผู้ป่วยของจีนนั้นทราบว่ามีตั้งแต่อายุ 15-89 ปี ฉะนั้น ในคนแก่มีแนวโน้มมีโรคประจำตัว เชื้อเหล่านี้ก็จะจู่โจมคนที่อ่อนแอ ส่วนกรณีการติดต่อจากคนสู่คน พบว่ามี 15 คน ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์จีน โดยมีอาการรุนแรง 1 ราย ขณะที่ระยะฟักอยู่ตัวที่ 2-14 วัน ส่วนกรณีการเปิดเผยว่าเชื้อนี้มีการกลายพันธุ์นั้น ยังไม่แน่ชัด แต่การกลายพันธุ์เป็นเรื่องปกติของไวรัส ซึ่งอาจจะทำให้รุนแรงขึ้นหรือลดลงก็ได้
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า การเจอผู้ป่วยที่เมืองอื่นของจีน เราก็มีการติดตามพบว่ายังมาจากเมืองอู่ฮั่นทั้งสิ้น ส่วนมาตรการเพิ่มเติมมี 3-4 ประเด็น คือ 1.ยกระดับการจัดการเป็นระดับ 3 รองรับการติดต่อจากคนสู่คน 2.หากมีข้อเท็จจริงติดจากคนสู่คน มาตรการเรื่องติดตามผู้สัมผัสและบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสผู้ป่วย ต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด 3.ระบบดูแลรักษา ทุก รพ.ต้องเช็กห้องความดันลบและจัดทีมเตรียมพร้อม และ 4.การสื่อสารต้องรายงานข้อเท็จจริงไม่ปกปิด มิเช่นนั้นจะเกิดความสับสนจนเข้าใจผิดได้ ส่วนจุดสำคัญคนที่มาจากอู่ฮั่นไม่ได้หามมา จึงเป้นที่มาว่าคนที่เจออาการไม่ได้รุนแรงมาก เพราะหากอาการรุนแรงก็จะไม่สามารถขึ้นเครื่องบินมาได้ และก็จะมีการเข้ามาเรื่อยๆ ก็ต้องติดตามเรื่อยๆ