สธ.ชี้ไทยยังไม่ต้องเฝ้าระวังบินตรงปักกิ่ง-เสิ่นเจิ้น หลังพบรายงานผู้ป่วยไวรัสอู่ฮั่น เหตุยังไม่มีการแพร่ระบาด แต่พร้อมจับตาเข้ม ระบุยังไม่ห้ามการเดินทางไปอู่ฮั่น แต่เลี่ยงได้ควรเลี่ยง ยันคนไทยใช้ชีวิตตามปกติ เว้น รพ.ต้องระมัดระวัง เพราะผู้ป่วยมักมา รพ. ควรจัดคลินิกแยก รพ.จุฬาฯ แจงวิธีตรวจเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
วันนี้ (20 ม.ค.) ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ มีการจัดประชุมวิชาการ “ปฐมบทไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019" ซึ่งมีแพทย์ นักศึกษาแพทย์ และผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ร่วมรับฟังบรรยาย โดย นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ว่า ขณะนี้ทางการจีนรายงานว่า พบผู้ป่วยประมาณ 200 ราย อาการรุนแรง 8 ราย และเสียชีวิต 3 ราย ล่าสุด พบผู้ป่วยรายใหม่ที่เมืองปักกิ่งและเสิ่นเจิ้น เป็นครั้งแรกที่พบนอกพื้นที่เมืองอู่ฮั่น อย่างไรก็ตาม จีนยังไม่ได้รายงานการเปลี่ยนแปลงการติดเชื้อ บอกแค่ว่าการติดต่อจากคนสู่คนเป็นไปได้น้อย ซึ่งหากพิจารณาจากรายงานพบว่า ที่อู่ฮั่นนั้นมีคนในครอบครัวติดเชื้อชนิดนี้ทั้งที่ไม่เคยไปตลาดมาก่อน รวมถึงผู้ป่วยรายใหม่ในปักกิ่งและเสิ่นเจิ้นที่กลับมาจากอู่ฮั่น ผู้ป่วยชาวจีนที่ติดเชื้อดังกล่าวก่อนเดินทางมาไทยทั้ง 2 ราย และผู้ป่วยที่ญี่ปุ่นรายงาน 1 ราย ก็ไม่เคยไปตลาดที่พบเชื้อมาก่อน ดังนั้นการแพร่เชื้อจากคนสู่คนสามารถพูดได้ระดับหนึ่ง ว่าสามารถเป็นไปได้
นพ.ธนรักษ์กล่าวว่า ปัจจุบันคนจีนเดินทางเข้ามายังประเทศไทยประมาณ 3 ล้านคน โดย 10% หรือประมาณ 3 แสนคนมาจากเมืองอู่ฮั่น สำหรับมาตรการการเฝ้าระวังขณะนี้ยังไม่มีการห้ามการเดินทาง และยังไม่มีการเฝ้าระวังเที่ยวบินตรงจากปักกิ่งและเสิ่นเจิ้น เนื่องจากยังไม่พบรายงานการระบาดของเชื้อใน 2 พื้นที่นี้ แต่ได้สั่งการให้มีการจับตาอย่างเข้มข้น เมื่อไรที่มีการรายงานว่า เกิดการระบาดในเมืองนี้ ก็จะเพิ่มการเฝ้าระวัง ขณะที่ประชาชนคนไทยยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะไม่มีการระบาดในเมืองไทย แต่ในส่วนของสถานพยาบาลก็ขอให้ระมัดระวัง เพราะถือเป็นพื้นที่เสี่ยง เนื่องจากตอนคัดกรองที่ด่านอาจไม่มีไข้ แต่มามีอาการภายหลัง ก็มักจะมาที่สถานพยาบาล และบางครั้งไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร มาจากไหน ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่มีใครมาสวมชุดป้องกันออกห้องฉุกเฉิน จึงอยากให้มีการจัดคลินิกแยกต่างหาก
"คนไทยที่จะเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นถ้าเลื่อนได้ก็ขอให้เลื่อน แต่ถ้าเลื่อนไม่ได้ก็ขอให้หลีกเลี่ยงการไปตลาด โรงพยาบาล หรือสัมผัสกับสัตว์และซากสัตว์ ขอให้ล้างมือบ่อยๆ และใส่หน้ากากอนามัยด้วย" นพ.ธนรักษ์กล่าวและว่า ส่วนเคสผู้ป่วยชายไทยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ซึ่งรักษาอยู่ในห้องแยกโรคโรงพยาบาลนครปฐม ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ไม่พบเชื้ออื่นที่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้น จะนำผลการตรวจนี้เข้าหารือในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเร็วๆ นี้ เพื่อวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรคอะไร หรือติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือไม่ ทั้งนี้ต้องรอให้ข้อมูลทุกอย่างครบถ้วนก่อน
ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ รพ.จุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า การตรวจสิ่งส่งตรวจของผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เราใช้กระบวนการในการตรวจแบบเดียวกับโรคเมอร์ส โดยตรวจว่าเป็นไวรัสที่เรารู้จักก่อน 33 ชนิดในไทยที่ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจว่าใช่หรือไม่ใช่ และตรวจตระกูลของไวรัส โดยตรวจใน 2 ตระกูล คือ โคโรนาไวรัส และอินฟลูเอนซา และเมื่อพบว่าเป็นตระกูลโคโรนาไวรัส จึงได้ทำการถอดพันธุกรรมทั้งหมด โดยใช้เวลา 24 ชั่วโมง แล้วนำมาเปรียบเทียบกับพันธุกรรมเชื้อไวรัสตระกูลโคโรนาที่มีอยู่ในธนาคารพันธุกรรม ซึ่งมาจากการรวบรวมภายใต้โครงการ PREDICT โดยโคโรนาไวรัสแบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ แอลฟา เบตาเอ เบตาบี เบตาซี และเบตาดี พบว่า มีความคล้ายโคโรนาไวรัสที่ก่อโรคซาร์สในค้างคาว 82-90% และทางการจีนได้เผยแพร่ต้นแบบสารพันธุกรรมของเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 เมื่อนำมาเทียบกันก็พบว่าตรงกัน 100%