xs
xsm
sm
md
lg

พิมพ์เขียวดีแค่ไหนก็ไม่รอด “อานันท์” แนะปรับความคิด “การศึกษา” เรื่องของทุกคน ชี้เปลี่ยน ผอ.ร.ร.ทุก 2 ปี พัฒนาไม่ต่อเนื่อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“อานันท์” ชี้ ร.ร. รัฐ เปลี่ยนผู้บริหารทุก 2 ปี ทำให้ขาดความต่อเนื่อง โอกาสพัฒนาการศึกษามีน้อย ย้ำ การศึกษาไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นเรื่องของทุกคน ลั่น มีพิมพ์เขียวดีแค่ไหนก็ไปไม่รอด หากไม่ปรับแนวคิดใหม่ก่อนปฏิรูป นักเรียน พ่อแม่ โรงเรียน ครู ชุมชนต้องรู้บทบาท แนะสร้างการเรียนรู้แบบใหม่ 4 ด้าน ปั้นเด็กให้เท่าทันโลกยุคใหม่

นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานเครือข่ายภาคีเพื่อการศึกษาไทย (TEP) ปาฐกถาเรื่อง “ถึงเวลาเปลี่ยนการศึกษาไทย” ภายในการประชุมเวทีภาคีเพื่อการศึกษาไทย (Thailand Education Partnership Forum 2018 : TEP Forum 2018) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 6 พ.ค. ใจความตอนหนึ่งว่า ตนให้ความสำคัญกับการศึกษา ส่วนหนึ่งเกิดจากที่ครอบครัวบิดาเป็นครู เป็นผู้บริหารโรงเรียนและปลูกฝังการศึกษาแก่ลูกทุกคน ประกอบกับวัยเรียนได้เห็นความเอาใจใส่ของครูต่อเด็ก หรือกระทั่งประสบการณ์จากการเรียนที่อังกฤษ ได้เห็นการบริหารงานที่ประสบความสำเร็จด้วยผู้นำ ซึ่งก็คือครูใหญ่ ที่มีความผูกพันมายาวนานกับโรงเรียนไม่น้อยกว่า 15 ปี ขณะที่ประเทศไทย โรงเรียนรัฐผู้บริหารจะเปลี่ยนทุก 2 ปี ทำให้ขาดความต่อเนื่อง โอกาสของการพัฒนาการศึกษามีน้อย แต่บทเรียนในหลายประเทศสะท้อนให้เห็นว่าการสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ได้สำเร็จลงได้ด้วยระยะเวลาอันสั้น แต่ต้องมีความต่อเนื่อง และต้องอาศัยทุกภาคส่วนในประเทศร่วมคิดและให้ความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษา

“การศึกษาไม่มีใครเป็นเจ้าของ รัฐเองก็ไม่ใช่เจ้าของ ไม่มีหน้าที่ควบคุม สั่งการ แต่มีหน้าที่สนับสนุน เพราะการศึกษาเป็นเรื่องของทุกคน พ่อแม่มีบทบาทสำคัญเป็นจุดแรกที่ต้องเอาใจใส่ ภาคสังคม ชุมชน และเอกชนก็เข้ามาร่วม เพราะฉะนั้น ถ้าจะพัฒนาคุณภาพการศึกษา ปฏิรูปการศึกษา คนไทยต้องปรับแนวคิดใหม่ โดยต้องรู้บทบาทหน้าที่ตนเอง หากไม่ปรับเปลี่ยน ท้ายที่สุดต่อให้มีแผนงานหรือพิมพ์เขียวที่ดีอย่างไรก็ไปไม่รอด ซึ่งบทบาทของผู้เรียน ต้องกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ค้นหาตนเอง พ่อแม่ ต้องสร้างโอกาสและสนับสนุนการเรียนรู้ตามศักยภาพของลูก โรงเรียนต้องเป็นที่สร้างแรงบันดาลใจและฝึกประสบการณ์ให้เด็ก ครู ต้องเป็นผู้ค้นหาและส่งเสริมศักยภาพเด็ก รัฐ อำนวยความสะดวก สนับสนุน และเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้าร่วมและรับผิดชอบ และชุมชน สังคม เปลี่ยนไปเป็นพื้นที่สร้างโอกาส การเรียนรู้ และตระหนักในการสร้างการเรียนรู้ นอกห้องเรียนที่มีความปลอดภัย” นายอานันท์ กล่าว

นายอานันท์ กล่าวว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 5 เรื่องใหญ่ๆ ทั้งเศรษฐกิจ ธุรกิจ ประเทศ สังคม และ ปัจเจกบุคคล ขณะเดียวกัน ยังส่งผลต่อระบบการศึกษา ทำให้การเรียนรู้ของเด็กที่จะต้องเปลี่ยนไปมีทักษะที่ต้องเสริมสร้างนวัตกรรมการสอนและการเรียนรู้บนแพลตฟอร์มใหม่ เพราะฉะนั้น การเตรียมคนสำหรับโลกยุคใหม่ต้องร่วมกันออกแบบและสร้างเป้าหมายร่วมกัน โดยอย่างน้อยที่เด็กต้องมี 6 คุณลักษณะ ประกอบด้วย 1. มีคุณธรรม จริยธรรม 2. รู้จักตนเอง 3. เป็นเจ้าของการเรียนรู้ 4. ทำงานเป็นทีม 5. พลเมืองมีส่วนร่วม และ 6. เก่งทันเทคโนโลยี พร้อมสร้างประสบการณ์เรียนรู้ของเด็กแบบใหม่ที่ทำให้เด็กมีศักยภาพเผชิญกับโลกที่ท้าทายและเปลี่ยนแปลง อย่างน้อย 4 ด้าน คือ 1. ให้เด็กรู้จักตนเอง ฝึกเข้ากับสังคม และพัฒนาตนเองต่อเนื่อง 2. ให้พร้อมสำหรับการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ท้าทายและเผชิญโลกตามความจริง 3. ฝึกให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ได้คิดและทำให้เป็น และฝึกให้มีพฤติกรรมที่เหมาะกับโลกยุคใหม่ เช่น การมีวินัย การจัดการตนเอง หรือการทำงานร่วมกับผู้อื่น และ 4. กระบวนการเรียนต้องฝึกทักษะและกระตุ้นให้เด็กสงสัย ตั้งคำถาม และค้นหาคำตอบอย่างเป็นระบบด้วย ตนเอง

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และ เครือข่ายภาคีเพื่อการศึกษาไทย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ TEP ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนไทย 1,142 คน ใน 15 จังหวัด ว่า อีก 10 ปีข้างหน้าต้องการเห็นเด็กไทยมีคุณลักษณะใด พบว่า เก่งทันเทคโนโลยี 91% มีความสาม รถในการเรียนรู้ 87% รู้จักตนเอง 86% สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี 86% เป็นพลเมืองที่ดี ร่วมสร้างสรรค์สังคม 84% และยึดมั่นในความถูกต้อง 82% เช่นเดียวกับที่ได้สอบถามผู้ร่วมงาน TEP Forum 2018 ที่ผ่านมา ก็พบว่า ต้องการให้เด็กเก่งทันเทคโนโลยี หลายเรื่องอยู่ระดับปานกลาง และต้องยกระดับอีกมาก โดยการส่งเสริมให้เด็กมีคุณธรรม จริยธรรม และรู้จักตนเองเป็นพื้นฐานไปสู่การพัฒนาเด็ก

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ทาง TEP ได้ระดมสมองเพื่อร่วมกันนำเสนอแนวคิดที่จะนำไปสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาไทย 7 ด้าน ได้แก่ เด็กปฐมวัย นักเรียน ครู โรงเรียน พ่อแม่ พื้นที่ และพื้นที่นวัตกรรม โดยที่ประชุมมีข้อสรุปร่วมกัน ดังนี้ 1. สนับสนุนให้พ่อแม่เข้าใจบทบาทและวิธีการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก เนื่องจากพ่อแม่มีบทบาทในการยกระดับการเรียนรู้ของเด็กมากถึง 40% จึงเสนอว่าควรจะมีโรงเรียนสำหรับสอนพ่อแม่ให้รู้จักบทบาท วิธีการเลี้ยงลูก การพัฒนาที่เหมาะสมตามศักยภาพ โดยมีการจัดทำหลักสูตรทั้งแบบปกติและหลักสูตรออนไลน์ รวมถึงสนับสนุนการสร้างเครือข่ายพ่อแม่

2. ช่วยให้เด็กค้นพบตนเอง ขยายผลการทำกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กรู้จักและค้นพบความถนัดตนเอง เช่น A chive และ Saturday School นอกจากนี้ TEP ยังร่วมมือกับกลุ่มสตาร์ทอัปในการใช้เทคโนโลยีช่วยเด็กค้นพบตนเองด้วย และหา prime mover เพื่อสร้างเครือข่ายครูแนะแนว 3. พัฒนาภาวะผู้นำของผู้อำนวยการ/ครูใหญ่ โดยร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนา ด้วยจัดทำหลักสูตรและใช้ระบบ HR สมัยใหม่มาช่วย 4. ยกระดับการผลิตครู เน้นการร่วมมือภาคีเครือข่ายและใช้ระบบ HR สมัยใหม่มาสนับสนุนการพัฒนาครู นอกจากนี้ จะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ปรับมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษาด้านครุศาสตร์ให้เน้นวิชาชีพ และร่วมกับคุรุสภาปรับมาตรฐานวิชาชีพให้อิงสมรรถนะ

5. สร้างพลังขับเคลื่อนในพื้นที่โดยหา prime mover ขับเคลื่อนและช่วยสนับสนุนการทำงานในพื้นที่ รวมทั้งถอดบทเรียนจังหวัดที่เข้มแข็งขยายผลไปสู่จังหวัดอื่นๆ ทั้งนี้ พบว่า จังหวัดที่ประสบความสำเร็จ เกิดจากผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนถิ่นมีความเข้าใจและให้ความสำคัญ 6. ยกระดับการทำงานของโรงเรียนและเครือข่ายโรงเรียน ขยายโรงเรียนนวัตกรรมซึ่งเป็นโรงเรียนรูปแบบใหม่ เป็นฐานแห่งการเรียนรู้ให้กลายเป็นกระแสหลักในพื้นที่ โน้มน้าวรัฐให้อิสระการบริหารจัดการโรงเรียนมากขึ้นโดยโจทย์ที่ท้าทาย คือ ทำให้เห็นว่าความอิสระของโรงเรียนทำให้เกิดความก้าวหน้า ไม่ได้เกิดปัญหา และ 7. ปรับระบบและการบริหารในเขตพื้นที่ สนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งทราบว่าสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษากำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดตั้งในพื้นที่นำร่อง

“ทั้งหมดนี้นับเป็นโจทย์ที่ท้าทาย TEP และภาคีเครือข่าย ซึ่งก้าวต่อไปเราจะเดินหน้าทำงาน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนกิจกรรมเป็นกระแสหลัก โดยสร้างความร่วมมือทั้งกับองค์กรสมาชิก อาสาสมัคร การระดมทรัพยากรจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อนำมาเป็นทุนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา จะสร้างพื้นที่ทำงานที่เข็มแข็ง และคึกคัก เป็นผู้ประสานงานและจัดการ นักสังเคราะห์ความรู้ นักสื่อสารสังคม และประสานกับฝ่ายนโยบาย ตลอดจนขยายผลความคิดไปสู่สังคม เช่น จัดเวที TEP Talk ในพื้นที่ต่างๆ หรือผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ และทำหน้าที่เสนอข้อเสนอแนวทางนโยบายแก่สังคม และหวังว่า ข้อเสนอเหล่านี้จะเป็นแนวทางที่รัฐบาลชุดต่อไปจะนำไปดำเนินการด้วย” ดร.สมเกียรติ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น