สสจ.สิงห์บุรี แจงเองแก้กฎหมายบัตรทอง ส่งผลดีทั้งประชาชน และ รพ. ชี้ ต้องแยกเงินเดือนออกจากงบเหมาจ่าย พ้อเป็นพื้นที่คนน้อย แต่ รพ. เดิมมีมาก หักเงินเดือนออกเหลืองบดูแล ปชช. แค่ 184 บาทต่อคน ขณะที่จังหวัดอื่นได้ 2,900 บาทต่อคน หวังแก้กฎหมายชาวยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ช่วยพ้นวิกฤตการเงิน
ความคืบหน้าการยกร่าง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... หรือร่างกฎหมายบัตรทอง หลังพ้นเวทีประชาพิจารณ์ 4 ภาค และเวทีปรึกษาสาธารณะ โดยยังมีประเด็นเห็นต่างอยู่หลายเรื่อง เช่น การร่วมจ่าย การแยกเงินเดือนบุคลากรออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว นิยามสถานบริการให้รวมเอ็นจีโอ เป็นต้น และมีการสร้างวาทกรรมว่าการแก้กฎหมายบัตรทองไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน
นพ.สุขสันติ พักธรรมนัก นายแพทย์เวชกรรมป้องกัน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สิงห์บุรี กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายบัตรทอง จะส่งผลดีต่อผู้รับบริการ โรงพยาบาล และบุคลากรที่ปฏิบัติงาน โดยเฉพาะการแยกเงินเดือนและค่าตอบแทนออกจากเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับจังหวัดที่ประชากรน้อย แต่อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีหน่วยบริการดูแลพี่น้องประชาชน และจังหวัดที่มีสถานบริการสาธารณสุขหลายแห่ง เช่น สิงห์บุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม ซึ่งเมื่อหักค่าบุคลากรและค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ทำให้งบประมาณในการให้บริการมีจำนวนไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ จ.สิงห์บุรี มีประชากรสิทธิหลักประกันสุขภาพ 145,720 คน มีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงพยาบาลขนาด 30 เตียง จำนวน 3 แห่ง และโรงพยาบาลขนาด 10 เตียง จำนวน 1 แห่ง รวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรปีละ 543 ล้านบาท โดย พ.ศ. 2559 ทางจังหวัดได้รับงบประมาณ 355 บาท แต่ถูกหักค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรร้อยละ 60 เป็นเงิน328 ล้านบาท ทำให้เหลืองบบริการประชาชนเพียง 27 ล้านบาท หรือ 184.02 บาทต่อหัวประชากรต่อปี ทั้งที่ในระดับประเทศจัดสรรไว้ 2,900 บาทต่อหัวประชากรต่อปี จึงจำเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือจากส่วนกลาง และจังหวัดอื่นๆ ในเขตสุขภาพเดียวกัน งบประมาณจึงเพิ่มขึ้นเป็น 87 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเงินของโรงพยาบาลใน จ.สิงห์บุรี ที่อยู่ในภาวะวิกฤต ซึ่งมีตั้งแต่ระดับ 1 - 4 ได้ส่งผลกระทบถึงระบบคุณภาพการบริการ การบริหารจัดการ และขวัญกำลังใจของบุคลากร
นพ.สุขสันติ กล่าวด้วยว่า สำหรับ พ.ศ. 2560 หลังหักค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและสาธารณูปโภค จ.สิงห์บุรี เหลืองบประมาณเพื่อใช้บริหารงานเพียง 11 ล้านบาท ทางกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการร่วมการเงินการคลังระดับประเทศ ได้พยายามจัดสรรงบประมาณตามเกณฑ์เพื่อช่วยเหลือแต่ก็ยังไม่เพียงพอ ทางจังหวัดยังคงมีโรงพยาบาลที่วิกฤตระดับ 7 และวิกฤตระดับ 1 - 2 อีก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเดิมๆ โดยปัญหานี้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ใช้แนวทาง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพ ฉบับเดิม ที่ทำให้การบริการของสถานบริการที่มีประชากรน้อยเดือดร้อน
นพ.สุขสันติ กล่าวว่า ขณะนี้ทุกโรงพยาบาลพยายามแก้ปัญหาเรื่องการขาดสภาพคล่องทางการเงินด้วยการชะลอจ่ายหนี้ค่ายา ค่าตอบแทนบุคลากร ค่าปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ เพื่อให้สามารถหมุนเงินในระบบได้ ซึ่งนั่นถือเป็นความเสี่ยง แต่การแก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นการปรับแก้ต้นเหตุแห่งปัญหาที่จะส่งผลดีต่อระบบคุณภาพบริการ และขวัญกำลังใจ หากโรงพยาบาลอยู่ไม่ได้ นอกจากผู้รับบริการสิทธิหลักประกันสุขภาพ ผู้รับบริการในสิทธิอื่นๆ ยังอาจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้