คลองลาดพร้าว - อธิบดีกรมธนารักษ์ มอบสัญญาเช่าที่ดินริมคลองที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมของ กทม. เพื่อสร้าง “บ้านประชารัฐริมคลอง” เพิ่มอีกแห่ง คือ ชุมชนรุ่นใหม่พัฒนา รวมเป็น 6 ชุมชน ด้าน พอช. จัดหาที่ดินในเขตสายไหม รองรับชาวบ้านที่ไม่สามารถอยู่ในชุมชนริมคลองได้ 124 ครัวเรือน ขณะที่บริษัทรับเหมาสร้างเขื่อน เจอปัญหาชาวชุมชนยังไม่ยอมย้ายบ้าน ทำให้งานสะดุดสร้างเขื่อนได้เพียง 1 กิโลเมตร
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายการจัดระเบียบชุมชนริมคูคลองในเขตกรุงเทพฯ โดยการรื้อย้ายบ้านเรือนที่รุกล้ำลำคลอง เพื่อก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตระบายน้ำป้องกันน้ำท่วม โดยมอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จัดทำโครงการ “บ้านประชารัฐริมคลอง” รองรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบเรื่องที่อยู่อาศัย เริ่มดำเนินงานปีนี้ในคลองลาดพร้าวจำนวน 10 ชุมชน และให้กรมธนารักษ์จัดทำสัญญาเช่าที่ดินให้ชาวชุมชนเช่า เพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยระยะยาว ส่วนการก่อสร้างเขื่อนดำเนินงานโดยบริษัทรับเหมาเอกชนรับผิดชอบโดยสำนักการระบายน้ำ กทม. นั้น
ล่าสุด วันนี้ (16 มิ.ย.) เวลา 9.00 น. ที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ ซอยพหลโยธิน 54 เขตสายไหม กรุงเทพฯ นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ พลตรี ชนาธิป บุนนาค เสนาธิการประจำผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก นายธีรพล สุวรรณรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน นายสยาม นนท์คำจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง (ศปก.ทชค.) นางรัตนธร รัตนสกุล ผู้อำนวยการเขตสายไหม ได้มาเยี่ยมชมความคืบหน้าในการก่อสร้างบ้านประชารัฐริมคลองที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ ซึ่งรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวคลอง ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ขณะนี้กำลังก่อสร้างบ้านใหม่ทั้งหมด 64 หลัง เป็นบ้านแถว 2 ชั้น ขนาด 6 X 6 ตารางเมตร โดยการก่อสร้างเฟสแรก 4 หลัง จะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนที่เหลือจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนปีนี้
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะและการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ซึ่งจะมีการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม ขณะเดียวกัน ก็จะต้องมีการรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกจากลำคลอง โดยเฉพาะบ้านเรือนและชุมชนที่ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินริมคลอง ซึ่งกรมธนารักษ์ดูแลอยู่ แต่เพื่อให้ประชาชนสามารถอาศัยอยู่ในชุมชนเดิมได้ กรมธนารักษ์จึงมีนโยบายให้นำที่ดินที่เหลือ หรือพ้นจากแนวก่อสร้างเขื่อนมาให้ประชาชนเช่าในระยะยาวเป็นเวลา 30 ปี ในอัตราผ่อนปรน ทั้งนี้ ประชาชนที่จะทำสัญญาเช่าที่ดิน จะต้องรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์เคหสถาน และเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ เพื่อให้การบริหารจัดการทั้งเรื่องการเช่าที่ดินและก่อสร้างบ้านเป็นไปอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
“ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ ถือว่าเป็นชุมชนนำร่อง และเป็นตัวอย่างที่ชาวชุมชนร่วมกับหน่วยงานรัฐพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลอง ถือว่าเป็นโครงการประชารัฐที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยากเห็น ซึ่งหลังจากที่สร้างบ้านเสร็จแล้ว กรมธนารักษ์ ก็จะเข้ามาพัฒนาชุมชนแห่งนี้ด้วย โดยจะชวนภาคเอกชนที่ต้องการทำ CSR (Corporate Social Responsibility) เข้ามาร่วมพัฒนาชุมชนด้วย เพื่อให้ชาวชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และช่วยกันทำให้น้ำในคลองใสสะอาด เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป” อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าว
อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการให้เช่าที่ดินนั้น ในปี 2559 นี้ กรมธนารักษ์ ได้ให้ชุมชนริมคลองเช่าที่ดินไปแล้ว 6 ชุมชน โดยในปีนี้กรมธนารักษ์จะให้ชาวชุมชนที่เข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐในคลองลาดพร้าว ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินรวม 10 ชุมชน ส่วนชุมชนที่เหลือจะดำเนินการในปีต่อไป
หลังจากนั้น อธิบดีกรมธนารักษ์ได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ตัวแทนชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ และได้ร่วมเทปูนหล่อเสาคอนกรีต หลังจากนั้น คณะทั้งหมดได้เดินทางไปที่ชุมชนรุ่นใหม่พัฒนา คลองลาดพร้าว เขตบางเขน เพื่อมอบสัญญาเช่าที่ดินให้แก่ตัวแทนชาวชุมชนเป็นชุมชนที่ 6 โดยมีระยะเวลาเช่า 30 ปี เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 9 ไร่เศษ อัตราค่าเช่าตารางวาละ 1.50 บาท/ตารางวา/เดือน
นายวิลัย เรืองมา ประธานชุมชนรุ่นใหม่พัฒนา กล่าวว่า ชุมชนมีบ้านเรือนทั้งหมด 165 ครัวเรือน หลังจากได้รับสัญญาเช่าแล้ว ในเดือนกรกฎาคมนี้ จะเริ่มรื้อถอนบ้านเรือนที่รุกล้ำแนวคลองเพื่อก่อสร้างบ้านเฟสแรกจำนวน 56 หลัง เป็นบ้านเดี่ยวขนาด 4 X 7 ตารางเมตร ค่าก่อสร้างประมาณหลังละ 300,000 บาท คาดว่า เฟสแรกจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช. จะให้ชาวบ้านกู้ยืมเพื่อก่อสร้างบ้านและผ่อนชำระคืนภายใน 15 ปี ในวงเงินไม่เกินรายละ 300,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี นอกจากนี้ พอช. ยังสนับสนุนงบประมาณแบบให้เปล่าเพื่อสร้างสาธารณูปโภคในชุมชน และงบสร้างบ้านประมาณหลังละ 80,000 บาท และในขณะที่รื้อถอนและก่อสร้างบ้านก็จะให้ค่าเช่าบ้านหลังละ 3,000 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน
สำหรับชุมชนที่กรมธนารักษ์ทำสัญญาให้เช่าที่ดินไปแล้ว ได้แก่ (เขตสายไหม) 1. ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 3 ไร่ 245 ตารางวา มีบ้านเรือนที่จะปลูกสร้างบ้านใหม่ 64 หลัง 2. ชุมชนเพิ่มสินร่วมใจ มีเนื้อที่ 3 ไร่ 128 ตารางวา มีบ้านเรือน 77 หลัง (เขตจุตจักร) 3. ชุมชนหลังกรมวิทยาศาสตร์ มีเนื้อที่ 4 ไร่ 41 ตารางวา มีบ้านเรือน 120 หลัง 4. ชุมชนวังหิน มีเนื้อที่ 3 ไร่ 35 ตารางวา มีบ้านเรือน 82 หลัง และ (เขตหลักสี่) 5. ชุมชนบางบัวร่วมใจพัฒนา มีเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ มีบ้านเรือน 173 หลัง
นายสยาม นนท์คำจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง (ศปก.ทชค.) กล่าวว่า ชุมชนต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองตามแนวทางบ้านประชารัฐ จะต้องจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนในการสร้างบ้าน มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลโครงการ และจะต้องจดทะเบียนเป็นสหกรณ์เคหสถาน จำกัด เพื่อให้เป็นนิติบุคคลและทำสัญญาเช่าที่ดินกับกรมธนารักษ์ หลังจากนั้น จึงเสนอโครงการที่อยู่อาศัยมายัง พอช. เพื่อเสนอขอใช้สินเชื่อและงบประมาณสนับสนุนการสร้างชุมชนใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีการรื้อย้ายบ้านที่สร้างอยู่ในคลองหรืออยู่ในแนวเขื่อนออกมา เพื่อปรับผังชุมชนใหม่ในที่ดินเดิม และเนื่องจากพื้นที่แต่ละชุมชนมีจำกัด ดังนั้น จึงต้องรื้อบ้านเพื่อสร้างใหม่ทั้งชุมชน โดยแต่ละครอบครัวจะได้รับการจัดสรรที่ดินเท่ากัน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันในชุมชนเดิมได้
“พอช. จะให้การสนับสนุนชาวบ้านในเรื่องกระบวนการรวมกลุ่มเพื่อแก้ไขปัญหา ตลอดจนเรื่องของสินเชื่อและงบประมาณด้านสาธารณูปโภค ส่วนชุมชนใดที่มีพื้นที่ไม่เพียงพอ หรืออยู่ในแนวเขื่อน ไม่สามารถสร้างบ้านใหม่ในชุมชนเดิมได้ พอช. ก็จะสนับสนุนให้ชาวบ้านรวมกลุ่มไปหาซื้อที่ดินแปลงใหม่ เช่น ที่ดินของเอกชน ที่ดินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ในสังกัดของกระทรวงการคลัง หรือที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ” นายสยาม กล่าว
ผอ.ศปก.ทชค. กล่าวว่า ล่าสุด ในขณะนี้ พอช. ได้จัดหาที่ดินรองรับชาวบ้านในเขตสายไหมที่ไม่สามารถอยู่ในชุมชนเดิมได้ คือ ชุมชนเลียบคลองสอง (โซน 3) มีประชาชนอาศัยอยู่รวม 673 ครัวเรือน. จัดหาที่ดินใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชุมชนเดิมในซอยสายไหม 46 เป็นที่ดินของเอกชน เนื้อที่ 4 ไร่เศษ ราคาประมาณ 17 ล้านบาท รองรับชาวบ้านได้จำนวน 126 ครัวเรือน โดยชุมชนมีแผนรื้อย้ายในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม นี้ หลังจากนั้น จะเริ่มก่อสร้างบ้านและชุมชนใหม่ ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 500 กว่าครัวเรือน พอช. จะร่วมกับชาวชุมชนจัดหาที่ดินที่เหมาะสมต่อไป
สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม กทม. ในคลองลาดพร้าว ระยะทางรวม 45 กิโลเมตร (ทั้งสองฝั่งคลอง) นั้น บริษัท ริเวอร์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้รับเหมางานในวงเงิน 1,645 ล้านบาท เริ่มสร้างเขื่อนช่วงแรกในคลองลาดพร้าว บริเวณคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา เขตวังทองหลาง ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากนั้น จึงเริ่มก่อสร้างในพื้นที่ที่ไม่มีชุมชน หรือชุมชนได้รื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวเขื่อนแล้ว เช่น ที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ จนถึงขณะนี้เป็นระยะเวลาประมาณ 4 เดือนเศษ บริษัทได้ก่อสร้างเขื่อนไปแล้วคิดเป็นระยะทางประมาณ 1,100 เมตรเศษ หรือประมาณ 1.8% ของเนื้องานทั้งหมด เนื่องจากมีอุปสรรคเพราะชุมชนหลายแห่งยังไม่ได้รื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน อย่างไรก็ตาม หากชุมชนต่าง ๆ รื้อย้ายและสร้างบ้านใหม่ภายในสิ้นปี 2560 ทางบริษัทรับเหมาก็ยืนยันว่าจะสร้างเขื่อนแล้วเสร็จตามสัญญาภายในเดือนมิถุนายน 2562