xs
xsm
sm
md
lg

เปิดเทอมแล้ว หวังว่าเด็กทุกคนจะได้เรียนหนังสือ...

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย...นิมิตร์ เทียนอุดม

ช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว และช่วงนี้เพื่อนพ้องน้องพี่ที่มีลูกหลานเพิ่งเข้าเรียนอนุบาลพากันโพสต์รูปลูกหลานกับการเปิดเทอมวันแรกผ่านโซเชียลมีเดีย บางคนร้องไห้จ้า แต่บางคนเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนานไม่อยากกลับบ้าน แต่ดูแล้วเจ้าของโพสต์ก็ดูอิ่มเอม ภูมิใจกับลูกหลานของตัวเองในเครื่องแบบนักเรียน

แต่ก็ทุกเปิดเทอมเช่นกันครับ ที่เราจะได้ยินเสียงสะอื้นของผู้ปกครองและแววตาของเด็กน้อยอีกหลายคน ที่ไม่สามารถสวมเครื่องแบบนักเรียนได้ เพียงเพราะเขาเหล่านั้นเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเอชไอวี ทั้งกรณีที่เด็กเป็นผู้ติดเชื้อเองและกรณีที่เด็กเกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวี

กรณีที่เด็กติดเชื้อ เวลาจะเข้าเรียนก็มักจะมีคุณครูไม่สบายใจว่า เวลาเด็กเล่นกันจะทำให้เกิดการส่งต่อ เชื้อไปสู่เพื่อน ต้องบอกเลยครับว่า บนโลกใบนี้ไม่มีใครติดเชื้อเอชไอวีจากการอยู่ร่วมกัน นี่คือข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่เด็กเกิดจากแม่ที่ติดเชื้อก็จะถูกเหมารวมไปว่า “ติดเชื้อเอชไอวี” ด้วย ทั้งๆ ที่ไม่รู้ผลเลือด แต่เพราะเราเชื่อว่าเด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีก็ต้องติดเชื้อด้วยแน่ๆ เราจึงตั้งเงื่อนไขไม่ให้เด็กเหล่านี้ได้เรียนหนังสือ

โดยทางการแพทย์แล้ว เด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีมีโอกาสติดเชื้อเพียงร้อยละ ๒๕ และหากแม่ได้ฝากครรภ์และรับยาต้านไวรัสต่อเนื่องจนกระทั่งคลอด เด็กก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อเพียงร้อยละ ๒ หากเป็นกรณีที่พ่อมีเชื้อเอชไอวีแต่แม่ไม่มีเชื้อเอชไอวีนั้น ทางการแพทย์ก็จะใช้วิธีคัดแยกตัวอสุจิออกมาผสมกับไข่ (เอชไอวีอยู่ในน้ำอสุจิเท่านั้นไม่ได้อยู่ในตัวอสุจิ) ซึ่งก็ทำให้เด็กที่เกิดมาไม่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีเลย

หรือกรณีที่พ่อและแม่ติดเชื้อเอชไอวีทั้งคู่ การที่ทั้งพ่อและแม่กินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องจนตรวจเอชไอวีในกระแสเลือดไม่พบ ก็ทำให้ลูกที่เกิดมามีโอกาสน้อยมากที่จะติดเชื้อเอชไอวี (เพราะถ้าในเลือดไม่มีเอชไอวี ในน้ำอสุจิก็ไม่มีเอชไอวีเช่นกัน) มีผู้ติดเชื้อหลายคู่ครับที่ตัดสินใจมีลูก ก่อนมีก็วางแผน ปรึกษาหมอ และกินยาต้านไวรัสต่อเนื่อง เมื่อคลอดลูกออกมาก็ไม่พบว่าเด็กติดเชื้อเอชไอวีแต่อย่างใด

ดังนั้น การเหมารวมว่าเด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะต้องติดเชื้อเอชไอวีด้วยจึงเป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยนไปจากข้อเท็จจริง ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบหลายอย่างตามมา เช่น เด็กไม่ได้เข้าเรียนตามวัยเพราะผู้เลี้ยงดูคิดว่าเด็กติดเชื้อ อีกไม่นานก็คงเสียชีวิต หรือกรณีที่เด็กถูกกีดกันไม่ให้เข้าเรียนเพราะเกรงว่าจะส่งต่อเชื้อไปสู่เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ

ในขณะนี้ยังมีเด็กในพื้นที่ กทม.ที่ไม่ได้เข้าเรียนเพราะถูกครูปฏิเสธ เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ ที่พร้อมจะรังแก กีดกัน เด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเอชไอวีไม่ให้เข้าเรียนชั้นเดียวกับลูกของตน

เราพร้อมที่จะรักลูกของตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข จนกระทั่งลืมไปว่าเราอาจรังแกเด็กคนหนึ่งซึ่งอาจจะกำพร้าเพราะพ่อหรือแม่ของเขาเสียชีวิตจากเอดส์ เด็กคนหนึ่งซึ่งต้องอยู่ตามลำพังบนโลกใบนี้ทนทุกข์มากพอแล้วครับ อย่าทำให้พวกเขารู้สึกอ้างว้างเพราะถูกทำร้ายจากคนที่มีทุกอย่างพร้อมไปมากกว่านี้เลย

น่าแปลกนะครับ เรารังเกียจ กีดกัน เพราะเรารู้หรือคิดเอาว่าเด็กเหล่านี้ติดเชื้อแน่ๆ แต่ในทางกลับกัน เราไม่เคยคิดว่า กับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้ผลเลือดเอชไอวี เราจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร

จำเป็นไหมที่เราต้องรู้ผลเลือดเอชไอวีของทุกคน? และในทางปฏิบัติเราทำได้จริงหรือไม่กับการไล่ตรวจเลือดกับทุกคนที่เราใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับเขา

จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะไม่ต้องรู้ผลเลือดคนอื่น แต่รู้ผลเลือดของตัวเราเองให้เร็วที่สุดถ้าเราไปมีความเสี่ยงมาเพื่อที่จะได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว จะได้ไม่เจ็บป่วย ไม่เสียโอกาสในชีวิต

ท้ายที่สุด อยากชวนดูภาพนี้ เป็นภาพรณรงค์เรื่องเอชไอวีของหน่วยงานหนึ่งครับ เป็นภาพครอบครัวที่ประกอบไปด้วยพ่อที่ติดเชื้อเอชไอวี แม่ที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี และลูกๆ ของเขาทั้ง ๓ คนไม่มีใครติดเชื้อเอชไอวีเลย คงเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก หากเด็กทั้ง ๓ คนนี้ถูกรังเกียจ กีดกัน ไม่ให้มีสิทธิที่จะเข้าเรียนหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ในสังคมเหมือนเด็กคนอื่นเพียงเพราะเขาทั้ง ๓ มีพ่อที่ติดเชื้อเอชไอวี

เปิดเทอมหน้า หวังว่าจะไม่มีเรื่องเศร้าว่าเด็กที่ได้รับผลกระทบจากเอชไอวีไม่ได้เข้าเรียนนะครับ

ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่



กำลังโหลดความคิดเห็น