เอเอฟพี - ผลจากการทดลองทางคลินิกนานาชาติที่ตีพิมพ์เมื่อวานนี้ (27 พ.ค.) แสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัสแต่แรกเริ่มหลังจากที่วินิจฉัยพบการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีสามารถลดโอกาสการเป็นโรคเอดส์และโรคภัยร้ายแรงอื่นๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ
งานวิจัยชิ้นนี้ถูกนำเสนอออกมาก่อนที่กำหนด 1 ปี หลังจากที่ข้อมูลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า คนที่ได้รับการรักษาตั้งแต่การวินิจฉัยมีโอกาสที่จะเสียชีวิตหรือเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ อย่างเช่นโรคเอดส์น้อยกว่า 53 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่การรักษาเริ่มต้นหลังจากที่ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมลงแล้ว
ทีมนักวิจัยระบุว่า ข้อมูลนี้เชื่อมโยงกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ที่เผยให้เห็นว่า ยาต้านไวรัสช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อเอชไอวีแพร่ไปยังคู่นอนที่มีสุขภาพดี และบ่งชี้ว่าการรักษาเช่นนี้เป็นประโยชน์กับทุกคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีไวรัสชนิดดังกล่าว
“ตอนนี้มีเรามีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ยิ่งผู้ติดเชื่อเอชไอวีเริ่มต้นการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเร็วเท่าไร่ มันยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของพวกเขามากเท่านั้น” แอนโทนี ฟาซี ผู้อำนวยการของสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ ระบุ
“มิหนำซ้ำ การรักษาตั้งแต่ต้นยังให้ประโยชน์เป็นสองต่อ ไม่ใช่แค่ทำให้สุขภาพของตัวผู้ป่วยดีขึ้นเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงที่พวกเขาจะแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่น เนื่องจากการรักษาทำให้ปริมาณไวรัสในกระแสเลือดของพวกเขาน้อยลง” เขากล่าวในถ้อยแถลง
งานวิจัยดังกล่าวเริ่มขึ้นในปี 2011 ใน 35 ประเทศ โดยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีชายและหญิงอายุเกิน 18 ปีเข้าร่วมการทดลอง 4,684 คน
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกมีอยู่ราว 35 ล้านคน ขณะที่มีเพียง 13 ล้านคนเท่าที่ที่ได้รับการรักษา
ก่อนหน้านี้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (UCDC) ก็เคยออกมาแนะนำเช่นกันว่าควรเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหลังจากการวินิจฉัยพบเชื้อเอชไอวี