xs
xsm
sm
md
lg

เร่งแก้ กม.โอน สกศ.ไปสำนักนายกฯ ตั้ง คกก.ดูแล - คุมงบบริหาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ศธ. เร่งแก้กฎหมายโอน สกศ. กลับไปอยู่ใต้ร่ม สำนักนายกฯ พร้อมตั้งคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาฯ มีทั้งผู้ทรงจากภาครัฐและเอกชน เข้ามาดูภาพรวม และวางแนวทางใช้กลไกงบฯ คุมการบริหารงาน ศธ.
รศ.ดร.พินิติ  รตะนานุกูล
วันนี้ (12 ก.พ.) ที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) รศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยความคืบและบทบาทของ สกศ. ในยุคปฏิรูปการศึกษา ว่า ที่ผ่านมา คณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษา ศธ. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการจำนวน 6 ชุด เพื่อวางกรอบการดำเนินงานปฏิรูปการศึกษา ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เท่ากับว่า กรอบแนวทางที่ สกศ. กำลังดำเนินการอยู่นั้น มีการสื่อสารระหว่าง ศธ. สปช. และ สนช. โดยตลอด และขณะนี้ค่อนข้างจะเห็นภาพชัดเจนแล้วในบางเรื่อง อาทิ คณะอนุกรรมการปฏิรูปการระบบผลิตและพัฒนาครู ซึ่งตนเป็นประธาน ได้วางแนวทางทั้งระบบผลิต และพัฒนาครู มีแนวคิดว่าสถาบันการผลิตจะต้องมีความรับผิดชอบต่อบัณฑิตที่จบออกมาด้วย โดยจะมีการสร้างเครือข่ายสถาบันผลิตครูในพื้นที่ เพื่อเวลาท้องถิ่นมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพการศึกษาหรือคุณภาพครู ก็สามารถให้เครือข่ายดังกล่าวเข้าไปแก้ปัญหาได้ทันที
 
ขณะเดียวกัน สถาบันฝ่ายผลิตจะต้องลดจำนวนรับนักศึกษาลง โดยจะให้รับตามกรอบที่ศธ.กำหนด เพื่อแก้ปัญหาผลิตบัณฑิตเกินความต้องการ โดยศธ.ต้องกำหนดกรอบอัตรากำลังที่ชัดเจน รับประกันว่าเมื่อจบแล้วมีงานทำแน่นอน โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้หลังจากนี้อีก 5 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กที่เรียนในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ปัจจุบันที่มีประมาณ 2.4 แสนคน มีโอกาสอบเป็นครูได้ตามระบบก่อน ทั้งนี้คาดว่า คณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 6 ชุด จะสามารถสรุปเป็นแนวทางการปฏิรูปการศึกษา เสนอให้คณะกรรมการอำนวยการฯ พิจารณาได้ภายในเดือนมีนาคมนี้
 
เลขาธิการ สกศ. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในส่วน สกศ. มีความชัดเจนแล้วต่อไปจะต้องมีการปรับบทบาทหน้าที่การทำงาน ซึ่งไม่ได้ทำเฉพาะเรื่องการศึกษาเท่านั้น แต่ต้องวางระบบการพัฒนาการศึกษา ให้สอดคล้องกับการผลิตและการพัฒนากำลังคน เพื่อพัฒนาประเทศ โดยใช้กลไกเรื่องงบประมาณมากำกับดูแลนโยบายด้านการศึกษา ให้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบของคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากภาครัฐ และเอกชนประมาณ 20 คน ทั้งสภาหอการค้า เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ร่วมถึงผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้ถือเป็นผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและพัฒนากำลังคน จึงมีส่วนสำคัญที่จะต้องมามีบทบาทกำหนดทิศทางในการจัดการศึกษาภาพรวมร่วมกัน
 
“การศึกษาถือเป็นการลงทุนระยะยาว และเป็นเรื่องที่ต้องทำต่อเนื่องจึงจะเห็นผล ซึ่งคิดว่า ต่อไปเมื่อคณะกรรมการพัฒนาการศึกษาฯ ชุดนี้จะมีหน้าที่ในการกำหนดทิศทางการศึกษาชาติแล้ว ก็ควรมีบทบาทในการกำหนดกรอบงบประมาณในภาพรวมด้านการศึกษาของประเทศด้วย เช่นเดียวกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่คงไม่ถึงขนาดเป็นซุปเปอร์บอร์ดเหมือทางด้านเศรษฐกิจ เพราะเรายังถือว่าดูแลเฉพาะด้านการศึกษาเป็นหลัก”รศ.ดร.พินิติ กล่าว
 
รศ.ดร.พินิติ กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ ในส่วนของ สกศ. หากแยกตัวออกจาก ศธ. ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการปรับโครงสร้าง เพราะไม่ได้ตั้งเป็นกระทรวงใหม่ แต่เป็นการโอนกลับไปสู่โครงสร้างเดิมที่อยู่กับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี และมีบทบาทการทำงานในเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานเชิงวิจัยทางการศึกษา โดยจะต้องเร่งจัดทำข้อสรุปบทบาทหน้าที่ใหม่ของ สกส. โดยเฉพาะกฎหมายต่างๆ ที่จะต้องแก้ไข เสนอคณะกรรมการอำนวยการให้แล้ว เร็วที่สุดภายในเดือนมีนาคม เพื่อเข้าสู่กระบวนทางทางนิติบัญญัติ ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอีกประมาณ 4 - 5 เดือน

ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่


กำลังโหลดความคิดเห็น