แพทยสภาชี้ช่องโหว่กฎหมาย หมอสะเพร่า เอื้อหิ้วเด็กอุ้มบุญออกนอกประเทศง่าย เหตุแจ้งชื่อแม่เด็กจากหญิงว่าจ้างไม่ใช่แม่อุ้มบุญ แต่ไร้การตรวจสอบ จี้ผลักดันร่าง กม.คุ้มครองเด็กอุ้มบุญ จ่อเรียกหมออุ้มบุญ 240 คน หารือสิ้นเดือนนี้
วันนี้ (11 ส.ค.) ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า สำหรับเด็กเชื้อสายออสเตรเลียกว่า 100 คน ที่หญิงไทยรับจ้างอุ้มบุญอยู่นั้น น่าเป็นห่วงว่าเมื่อคลอดแล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อ โดยเฉพาะการออกนอกประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมากฎหมายไม่รัดกุม ยิ่งการทำอุ้มบุญแบบผิดกฎหมายพบว่า มักใช้ชื่อแม่ที่เป็นคนว่าจ้างหรือชื่อชาวต่างชาติคนใดคนหนึ่งในการแจ้งชื่อแม่ของเด็ก โดยไม่ใช่ชื่อของหญิงที่รับจ้างอุ้มบุญ แต่ก็ไม่มีการตรวจสอบ ทั้งที่ชื่อแม่ของเด็กเป็นคนอายุ 50 ปี แต่คนอุ้มท้องอายุ 24 ปี ทำให้ที่ผ่านมาเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญถูกนำออกนอกประเทศโดยง่าย โดยกระบวนการเหล่านี้มาจากการทำงานของกลุ่มเอเยนซี ที่มีแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น แต่หากเป็นกรณีถูกกฎหมายจะอาศัยวีซ่าจากสถานทูตประเทศนั้นๆ รับรอง ซึ่งจะมีการตรวจสอบดีเอ็นเอเด็กว่า เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ผู้อ้างสิทธิหรือไม่
“ที่ผ่านมา ไม่มีการควบคุม จึงควรเร่งผลักดันการเร่งร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ... ซึ่งจะควบคุมได้ในกรณีแพทย์ที่จะทำการอุ้มบุญจะต้องพิจารณาว่า ชื่อของแม่กับคนอุ้มท้องต้องเป็นคนเดียวกัน หรือไม่คนอุ้มท้องก็จะต้องเป็นญาติ เป็นต้น ส่วนกรณีอื่นๆ จะต้องช่วยกันหลายฝ่าย โดยขณะนี้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้เสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้ว” นายกแพทยสภา กล่าว
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของแพทยสภาจะดูแลแพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ให้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามข้อบังคับแพทยสภา โดยภายในสิ้น ส.ค. นี้ แพทยสภาและราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยจะเชิญแพทย์ที่ได้รับการรับรองใช้เทคโนโลยีดังกล่าวจำนวน 240 คน จาก 45 สถานบริการที่ได้รับอนุญาตมาหารือร่วมกัน และหาทางออกของปัญหาเรื่องนี้ และจะทำอย่างไรให้การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะต้องยอมรับว่าคนที่ไม่สามารถมีลูกได้ แต่อยากมีลูกด้วยการอุ้มบุญที่ถูกกฎหมายก็ยังมี การจะห้ามทั้งหมดย่อมทำไม่ได้
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (11 ส.ค.) ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า สำหรับเด็กเชื้อสายออสเตรเลียกว่า 100 คน ที่หญิงไทยรับจ้างอุ้มบุญอยู่นั้น น่าเป็นห่วงว่าเมื่อคลอดแล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อ โดยเฉพาะการออกนอกประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมากฎหมายไม่รัดกุม ยิ่งการทำอุ้มบุญแบบผิดกฎหมายพบว่า มักใช้ชื่อแม่ที่เป็นคนว่าจ้างหรือชื่อชาวต่างชาติคนใดคนหนึ่งในการแจ้งชื่อแม่ของเด็ก โดยไม่ใช่ชื่อของหญิงที่รับจ้างอุ้มบุญ แต่ก็ไม่มีการตรวจสอบ ทั้งที่ชื่อแม่ของเด็กเป็นคนอายุ 50 ปี แต่คนอุ้มท้องอายุ 24 ปี ทำให้ที่ผ่านมาเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญถูกนำออกนอกประเทศโดยง่าย โดยกระบวนการเหล่านี้มาจากการทำงานของกลุ่มเอเยนซี ที่มีแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น แต่หากเป็นกรณีถูกกฎหมายจะอาศัยวีซ่าจากสถานทูตประเทศนั้นๆ รับรอง ซึ่งจะมีการตรวจสอบดีเอ็นเอเด็กว่า เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ผู้อ้างสิทธิหรือไม่
“ที่ผ่านมา ไม่มีการควบคุม จึงควรเร่งผลักดันการเร่งร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ... ซึ่งจะควบคุมได้ในกรณีแพทย์ที่จะทำการอุ้มบุญจะต้องพิจารณาว่า ชื่อของแม่กับคนอุ้มท้องต้องเป็นคนเดียวกัน หรือไม่คนอุ้มท้องก็จะต้องเป็นญาติ เป็นต้น ส่วนกรณีอื่นๆ จะต้องช่วยกันหลายฝ่าย โดยขณะนี้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้เสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้ว” นายกแพทยสภา กล่าว
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของแพทยสภาจะดูแลแพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ให้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามข้อบังคับแพทยสภา โดยภายในสิ้น ส.ค. นี้ แพทยสภาและราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยจะเชิญแพทย์ที่ได้รับการรับรองใช้เทคโนโลยีดังกล่าวจำนวน 240 คน จาก 45 สถานบริการที่ได้รับอนุญาตมาหารือร่วมกัน และหาทางออกของปัญหาเรื่องนี้ และจะทำอย่างไรให้การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะต้องยอมรับว่าคนที่ไม่สามารถมีลูกได้ แต่อยากมีลูกด้วยการอุ้มบุญที่ถูกกฎหมายก็ยังมี การจะห้ามทั้งหมดย่อมทำไม่ได้
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่