ไม่ชัดกรณีเด็ก 9 คน ผ่านอุ้มบุญเข้าข่ายค้ามนุษย์ อยู่ระหว่างตรวจสอบ ดูวัตถุประสงค์หนุ่มญี่ปุ่นเป็นหลัก ชี้ใช้ พ.ร.บ.ปรามปรามค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ลงโทษได้หากผิดจริง
วันนี้ (8 ส.ค.) นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า การจะชี้ชัดว่ากรณีเด็กอุ้มบุญ 9 คนนั้น เข้าข่ายการค้ามนุษย์หรือไม่ จะต้องนำหลายเหตุผลมาประกอบกัน ซึ่งข้อสงสัยในเรื่องอายุของพ่อชาวญี่ปุ่นยังไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดว่าเข้าข่ายหรือไม่ โดยพ่อชาวญี่ปุ่นอาจมีวัตถุประสงค์อื่นพิเศษ ซึ่งอาจไม่ใช่ที่ตัวเด็กเพียงอย่างเดียว จะต้องดูพฤติกรรมในเริ่มแรก ว่า มีเจตนาอย่างไร และดูพฤติกรรมต่อเนื่องว่า มีการนำเด็กไปขายต่อหรือไม่ ซึ่งหากพบว่ามีการขายต่อ จึงจะถือว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์
“บทลงโทษในการกระทำความผิดนั้น จะต้องยึดตามสถานที่เกิดเหตุ หากมีการซื้อขายในไทย ก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายไทย ขณะการเสนอยกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ยังไม่พบว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มีจุดอ่อนที่จะต้องแก้ไข เพราะหากกระบวนการสืบสวนพบว่ามีการกระทำความผิดจริง สามารถลงโทษตามกฎหมายที่มีอยู่ได้” ปลัด พม. กล่าว
นายวิเชียร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในส่วนของเอเยนซี และผู้รับอุ้มบุญ ขณะนี้ถือว่ายังไม่มีความผิดทางกฎหมายจะต้องมีการตรวจสอบว่า บุคคลเหล่านี้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดหรือไม่ หากสืบสวนแล้วพบว่ามีการส่งขายเด็กตั้งแต่ต้น ถือว่าเป็นผู้ร่วมกระบวนการ และมีความผิดเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นช่องว่างของกฎหมายที่สามารถกระทำได้ ซึ่งหาก พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ มีการประกาศใช้แล้ว การกระทำดังกล่าวจะถือว่ามีความผิดทั้งหมด แต่เนื่องจากไทยยังไม่มีกฎหมายทีสามารถลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างชัดเจน เรื่องนี้จึงอาจมีส่วนเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การค้ามนุษย์ได้
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (8 ส.ค.) นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า การจะชี้ชัดว่ากรณีเด็กอุ้มบุญ 9 คนนั้น เข้าข่ายการค้ามนุษย์หรือไม่ จะต้องนำหลายเหตุผลมาประกอบกัน ซึ่งข้อสงสัยในเรื่องอายุของพ่อชาวญี่ปุ่นยังไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดว่าเข้าข่ายหรือไม่ โดยพ่อชาวญี่ปุ่นอาจมีวัตถุประสงค์อื่นพิเศษ ซึ่งอาจไม่ใช่ที่ตัวเด็กเพียงอย่างเดียว จะต้องดูพฤติกรรมในเริ่มแรก ว่า มีเจตนาอย่างไร และดูพฤติกรรมต่อเนื่องว่า มีการนำเด็กไปขายต่อหรือไม่ ซึ่งหากพบว่ามีการขายต่อ จึงจะถือว่าเข้าข่ายการค้ามนุษย์
“บทลงโทษในการกระทำความผิดนั้น จะต้องยึดตามสถานที่เกิดเหตุ หากมีการซื้อขายในไทย ก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายไทย ขณะการเสนอยกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ยังไม่พบว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มีจุดอ่อนที่จะต้องแก้ไข เพราะหากกระบวนการสืบสวนพบว่ามีการกระทำความผิดจริง สามารถลงโทษตามกฎหมายที่มีอยู่ได้” ปลัด พม. กล่าว
นายวิเชียร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในส่วนของเอเยนซี และผู้รับอุ้มบุญ ขณะนี้ถือว่ายังไม่มีความผิดทางกฎหมายจะต้องมีการตรวจสอบว่า บุคคลเหล่านี้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดหรือไม่ หากสืบสวนแล้วพบว่ามีการส่งขายเด็กตั้งแต่ต้น ถือว่าเป็นผู้ร่วมกระบวนการ และมีความผิดเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นช่องว่างของกฎหมายที่สามารถกระทำได้ ซึ่งหาก พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ มีการประกาศใช้แล้ว การกระทำดังกล่าวจะถือว่ามีความผิดทั้งหมด แต่เนื่องจากไทยยังไม่มีกฎหมายทีสามารถลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างชัดเจน เรื่องนี้จึงอาจมีส่วนเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การค้ามนุษย์ได้
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่