รถพยาบาลฉุกเฉินเกิดอุบัติเหตุเจ็บตายสูงกว่ารถตู้ทั่วไป 3 เท่า ทั้งที่สภาพรถยังอยู่ดี สธ.เร่งจัดอบรมพนักงานขับรถด่วน พร้อมจับมืมกรมขนส่งออกใบขับขี่เฉพาะ ควบคุมทั้ง รพ.รัฐ - เอกชน - มูลนิธิกู้ภัย
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต จ.ปทุมธานี นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดอบรมพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉิน (Thai Emergency Ambulance Driving Course) จากโรงพยาบาลในสังกัดและโรงพยาบาลเอกชนรุ่นแรก ว่า ที่ผ่านมามีรถพยาบาลฉุกเฉินเกิดอุบัติเหตุเกิดระหว่างรับส่งผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินบ่อยครั้ง ในรอบเกือบ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 - 12 มิ.ย. 2557 สำนักสาธารณสุขฉุกเฉิน (สธฉ.) รายงานมีรถพยาบาลฉุกเฉินในสังกัดทั่วประเทศ เกิดอุบัติเหตุรวม 27 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 119 ราย เสียชีวิต 18 ราย อัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยร้อยละ 15 สูงกว่ารถตู้โดยสารทั่วไป 3 เท่าตัว แนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพยาบาล เจ้าหน้าที่กู้ชีพ ผู้ป่วย และญาติ ทั้งที่การประเมินรถพยาบาลฉุกเฉินของโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศกว่า 800 แห่ง ประมาณ 2,500 คัน สภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน พร้อมปฏิบัติงาน จึงต้องเร่งป้องกันแก้ไขปัญหา
นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า ในระยะสั้นได้จัดหลักสูตรอบรมพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉินโรงพยาบาลทุกแห่งให้เป็นมืออาชีพ เรียนรู้ทั้งทฤษฎีความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน การดูแลรักษาตรวจเช็กความพร้อมของรถ กฎหมายจราจร การใช้วิทยุสื่อสาร เทคนิคการขับรถเชิงป้องกันอุบัติเหตุ และฝึกทักษะการขับรถในสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มความคล่องตัวต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ยิ่งขึ้น ส่วนระยะยาว สธ. ได้ร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก และหน่วยงานเกี่ยวข้อง พิจารณาหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตการขับขี่รถพยาบาลฉุกเฉินโดยเฉพาะ ซึ่งขณะนี้ไทยยังไม่เคยมีใช้ แต่ในต่างประเทศมีแล้ว โดยมาตรการนี้จะให้มีผลบังคับใช้กับรถพยาบาลฉุกเฉินในสถานพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งมูลนิธิกู้ภัย เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สร้างความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน สามารถนำผู้ป่วยส่งถึงมือแพทย์ยังโรงพยาบาลปลายทาง
ด้าน นพ.อนุรักษ์ อมรเพชรสถาพร ผอ.สธฉ. กล่าวว่า สธฉ.ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ศึกษาและกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถพยาบาลฉุกเฉินในระบบการแพทย์ฉุกเฉินไว้ 7 ประการ ได้แก่ 1. พนักงานขับรถพยาบาล ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการขับรถพยาบาลที่เหมือนจริง มีใบขับขี่รถพยาบาลเท่านั้น มีการตรวจแอลกอฮอล์ในลมหายใจและตรวจสารเสพติดในปัสสาวะก่อนขับ ผ่านการทดสอบสุขภาพจิต 2. พยาบาลที่ปฏิบัติงาน ต้องสามารถดูแลผู้ป่วยเฉพาะโรคหรือการบาดเจ็บของผู้ป่วยที่ส่งต่อได้ 3. รถพยาบาลต้องมีโครงสร้างตัวถังรถที่แข็งแรง มีการตรวจเช็กสภาพรถ ติดตั้งจัดหาอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เข็มขัดนิรภัยที่ยึดกับตัวเบาะที่นั่ง หรือยึดกับตัวรถ 4. ติดตั้งระบบจีพีเอส (GPS) ประจำรถ เพื่อสามารถติดตามตำแหน่งพิกัดของรถพยาบาล และควบคุมความเร็วได้
5. การกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ข้อบ่งชี้ของการส่งต่อผู้ป่วย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการส่งต่อในช่วงเวลาไม่เหมาะสม 6. จำกัดความเร็วรถพยาบาลฉุกเฉินไม่เกินกฎหมายกำหนด ให้ยึดกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และ 7. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน หากพบรถพยาบาลฉุกเฉินที่เปิดสัญญาณไฟขอให้หลีกทาง เพื่อให้รถพยาบาลส่งผู้ป่วยถึงมือแพทย์ยังโรงพยาบาลปลายทางปลอดภัยที่สุด ทั้งนี้ หลักสูตรการอบรมพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉิน จะใช้เวลาหลักสูตรละ 4 วัน และจะขยายผลให้เขตบริการสุขภาพทั้ง 12 เขตดำเนินการจัดอบรมให้ครบทุกแห่ง และภาคปฏิบัติที่สนามฝึกขับรถยนต์ ของสำนักงานขนส่งจังหวัดนั้นๆ
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต จ.ปทุมธานี นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดอบรมพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉิน (Thai Emergency Ambulance Driving Course) จากโรงพยาบาลในสังกัดและโรงพยาบาลเอกชนรุ่นแรก ว่า ที่ผ่านมามีรถพยาบาลฉุกเฉินเกิดอุบัติเหตุเกิดระหว่างรับส่งผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินบ่อยครั้ง ในรอบเกือบ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2555 - 12 มิ.ย. 2557 สำนักสาธารณสุขฉุกเฉิน (สธฉ.) รายงานมีรถพยาบาลฉุกเฉินในสังกัดทั่วประเทศ เกิดอุบัติเหตุรวม 27 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 119 ราย เสียชีวิต 18 ราย อัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยร้อยละ 15 สูงกว่ารถตู้โดยสารทั่วไป 3 เท่าตัว แนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพยาบาล เจ้าหน้าที่กู้ชีพ ผู้ป่วย และญาติ ทั้งที่การประเมินรถพยาบาลฉุกเฉินของโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศกว่า 800 แห่ง ประมาณ 2,500 คัน สภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน พร้อมปฏิบัติงาน จึงต้องเร่งป้องกันแก้ไขปัญหา
นพ.วชิระ กล่าวอีกว่า ในระยะสั้นได้จัดหลักสูตรอบรมพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉินโรงพยาบาลทุกแห่งให้เป็นมืออาชีพ เรียนรู้ทั้งทฤษฎีความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน การดูแลรักษาตรวจเช็กความพร้อมของรถ กฎหมายจราจร การใช้วิทยุสื่อสาร เทคนิคการขับรถเชิงป้องกันอุบัติเหตุ และฝึกทักษะการขับรถในสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มความคล่องตัวต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ยิ่งขึ้น ส่วนระยะยาว สธ. ได้ร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก และหน่วยงานเกี่ยวข้อง พิจารณาหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตการขับขี่รถพยาบาลฉุกเฉินโดยเฉพาะ ซึ่งขณะนี้ไทยยังไม่เคยมีใช้ แต่ในต่างประเทศมีแล้ว โดยมาตรการนี้จะให้มีผลบังคับใช้กับรถพยาบาลฉุกเฉินในสถานพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งมูลนิธิกู้ภัย เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สร้างความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน สามารถนำผู้ป่วยส่งถึงมือแพทย์ยังโรงพยาบาลปลายทาง
ด้าน นพ.อนุรักษ์ อมรเพชรสถาพร ผอ.สธฉ. กล่าวว่า สธฉ.ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ศึกษาและกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถพยาบาลฉุกเฉินในระบบการแพทย์ฉุกเฉินไว้ 7 ประการ ได้แก่ 1. พนักงานขับรถพยาบาล ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการขับรถพยาบาลที่เหมือนจริง มีใบขับขี่รถพยาบาลเท่านั้น มีการตรวจแอลกอฮอล์ในลมหายใจและตรวจสารเสพติดในปัสสาวะก่อนขับ ผ่านการทดสอบสุขภาพจิต 2. พยาบาลที่ปฏิบัติงาน ต้องสามารถดูแลผู้ป่วยเฉพาะโรคหรือการบาดเจ็บของผู้ป่วยที่ส่งต่อได้ 3. รถพยาบาลต้องมีโครงสร้างตัวถังรถที่แข็งแรง มีการตรวจเช็กสภาพรถ ติดตั้งจัดหาอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น เข็มขัดนิรภัยที่ยึดกับตัวเบาะที่นั่ง หรือยึดกับตัวรถ 4. ติดตั้งระบบจีพีเอส (GPS) ประจำรถ เพื่อสามารถติดตามตำแหน่งพิกัดของรถพยาบาล และควบคุมความเร็วได้
5. การกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ข้อบ่งชี้ของการส่งต่อผู้ป่วย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการส่งต่อในช่วงเวลาไม่เหมาะสม 6. จำกัดความเร็วรถพยาบาลฉุกเฉินไม่เกินกฎหมายกำหนด ให้ยึดกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และ 7. ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน หากพบรถพยาบาลฉุกเฉินที่เปิดสัญญาณไฟขอให้หลีกทาง เพื่อให้รถพยาบาลส่งผู้ป่วยถึงมือแพทย์ยังโรงพยาบาลปลายทางปลอดภัยที่สุด ทั้งนี้ หลักสูตรการอบรมพนักงานขับรถพยาบาลฉุกเฉิน จะใช้เวลาหลักสูตรละ 4 วัน และจะขยายผลให้เขตบริการสุขภาพทั้ง 12 เขตดำเนินการจัดอบรมให้ครบทุกแห่ง และภาคปฏิบัติที่สนามฝึกขับรถยนต์ ของสำนักงานขนส่งจังหวัดนั้นๆ
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่