"ยิ่งลักษณ์" จี้ดูแลแรงงานต่างด้าวและครอบครัว 3 ชาติ ทั้งพม่า เขมร และลาว หลังพบอยู่นอกระบบมากถึง 3 ล้านคน เสี่ยงปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด ค้ามนุษย์ โสเภณี และยาเสพติด มอบ สธ.เดินหน้าจดทะเบียนลดขั้นตอนยุ่งยาก แค่พิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายรูป เป็นข้อมูลสำหรับติดตามตัว พร้อมจัดแพ็กเก็จประกันสุขภาพ จ่ายเพียง 5% ของค่าแรง 300 บาท หวังได้รับบริการสาธารณสุขที่ดี ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ
วันนี้ (5 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมหารือเรื่องการดำเนินการกลุ่มแรงงานต่างด้าว ผู้ติดตามและบุตร (Migrant) ที่เหมาะสมของประเทศไทย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และมีผู้แทนจากองค์กรต่างประเทศ อาทิ องค์การอนามัยโลก ยูเอ็น ยูนิเซฟ อียู ไอโอเอ็ม ไจก้า ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย รวมทั้งเอ็นจีโอ เข้าร่วมประชุมหารือในครั้งนี้
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า นายกฯมีนโยบายดูแลสุขภาพประชาชนทุกคนที่อาศัยในประเทศไทยไม่ให้มีการเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในแม่และเด็กที่ติดตามมากับแรงงานต่างด้าว ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาทางสังคมอื่นๆ ทั้งการค้ามนุษย์ ทำร้ายเด็ก โสเภณี ยาเสพติด และอาชญากรรม เป็นการดูแลตอบแทนที่คนกลุ่มนี้มีส่วนร่วมเข้ามาสร้างจีดีพีให้กับประเทศไทย โดยรัฐบาลพบว่าคนเหล่านี้ยังมีปัญหา เนื่องจากที่ผ่านมาการขึ้นทะเบียนของคนกลุ่มนี้ต้องผ่านขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติที่ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายมาก ครั้งนี้จึงมอบให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้คนกลุ่มนี้อยู่ในประเทศไทย โดยไม่ต้องพิสูจน์สัญชาติ โดยลดขั้นตอนให้มาขึ้นทะเบียนด้วยขั้นตอนง่ายๆ เช่น พิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายรูป หากมีปัญหาสามารถตามตัวได้ง่ายเพราะมีข้อมูลและรูปถ่าย และเป็นครั้งแรกที่นำมาตรการทางสาธารณสุขมาดูแลแรงงานต่างด้าวทั้งผู้ติดตามนอกระบบ 3 สัญชาติคือ พม่า กัมพูชา และลาว
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้คาดว่าในไทย มีแรงงานต่างด้าวและผู้ติดตามนอกระบบรวม 3 ล้านคน ซึ่งจำนวนคนมาก ก็จะยิ่งใช้ทรัพยากรในประเทศมาก สธ.จึงได้ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ขอรับเรื่องนี้เข้ามาดำเนินการ โดยจะเข้าไปจดทะเบียนแบบมีเงื่อนไขว่าจะได้รับบริการสาธารณสุข หากซื้อประกันสุขภาพในราคาที่เหมาะสม คือเด็กวันละ 1 บาท จะได้รับการศึกษาฟรีด้วย ส่วนผู้ใหญ่เสียค่าประกันสุขภาพคนละ 2,200 บาทต่อปี และเพิ่มค่าตรวจร่างกายอีก 600 บาทต่อปี จะได้รับสิทธิการรักษาครอบคลุมโรคเอดส์ อนามัยแม่และเด็ก ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ14-15 บาท หรือประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของค่าแรง 300 บาทต่อวัน เป็นอัตราที่เหมาะสมตามหลักมนุษยธรรม แม้ไทยต้องเสียงบประมาณในการดูแลคนกลุ่มนี้บ้าง แต่จะเป็นผลดีต่อประเทศ ช่วยลดปัญหาทางสังคม อาชญากรรม ค่าใช้จ่ายด้านบริการสาธารณสุข รวมทั้งการควบคุมโรคต่างๆ และสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ
"การแก้ปัญหาในระยะสั้น ได้เตรียมเสนอการจัดหาที่อยู่ให้คนกลุ่มนี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นนิคม ส่วนในระยะยาว จะหารือกับกระทรวงศึกษาธิการในการปรับปรุงระบบการศึกษา โดยขอให้ผลิตบุคลากรระดับอาชีวศึกษามากขึ้น เพื่อเพิ่มคนทำงานในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม มีการปรับค่าแรงให้เกิดแรงจูงใจในการทำงาน รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาลดการใช้แรงงานจากคน โดยได้เชิญองค์กรนานาชาติ เอ็นจีโอ มูลนิธิต่างๆ มาหารือและช่วยกระตุ้นคนเหล่านี้ออกจากใต้ดิน ขึ้นมาจดทะเบียนด้วย ซึ่งองค์กรนานาชาติยินดีสนับสนุนงบประมาณสนับสนุนการกระตุ้นให้คนเหล่านี้มาลงทะเบียน เนื่องจากเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาเป็นรูปธรรมในเรื่องการต่อต้านปัญหาค้ามนุษย์" รมว.สาธารณสุข กล่าว
วันนี้ (5 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมหารือเรื่องการดำเนินการกลุ่มแรงงานต่างด้าว ผู้ติดตามและบุตร (Migrant) ที่เหมาะสมของประเทศไทย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และมีผู้แทนจากองค์กรต่างประเทศ อาทิ องค์การอนามัยโลก ยูเอ็น ยูนิเซฟ อียู ไอโอเอ็ม ไจก้า ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย รวมทั้งเอ็นจีโอ เข้าร่วมประชุมหารือในครั้งนี้
นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า นายกฯมีนโยบายดูแลสุขภาพประชาชนทุกคนที่อาศัยในประเทศไทยไม่ให้มีการเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในแม่และเด็กที่ติดตามมากับแรงงานต่างด้าว ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาทางสังคมอื่นๆ ทั้งการค้ามนุษย์ ทำร้ายเด็ก โสเภณี ยาเสพติด และอาชญากรรม เป็นการดูแลตอบแทนที่คนกลุ่มนี้มีส่วนร่วมเข้ามาสร้างจีดีพีให้กับประเทศไทย โดยรัฐบาลพบว่าคนเหล่านี้ยังมีปัญหา เนื่องจากที่ผ่านมาการขึ้นทะเบียนของคนกลุ่มนี้ต้องผ่านขั้นตอนการพิสูจน์สัญชาติที่ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายมาก ครั้งนี้จึงมอบให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้คนกลุ่มนี้อยู่ในประเทศไทย โดยไม่ต้องพิสูจน์สัญชาติ โดยลดขั้นตอนให้มาขึ้นทะเบียนด้วยขั้นตอนง่ายๆ เช่น พิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายรูป หากมีปัญหาสามารถตามตัวได้ง่ายเพราะมีข้อมูลและรูปถ่าย และเป็นครั้งแรกที่นำมาตรการทางสาธารณสุขมาดูแลแรงงานต่างด้าวทั้งผู้ติดตามนอกระบบ 3 สัญชาติคือ พม่า กัมพูชา และลาว
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้คาดว่าในไทย มีแรงงานต่างด้าวและผู้ติดตามนอกระบบรวม 3 ล้านคน ซึ่งจำนวนคนมาก ก็จะยิ่งใช้ทรัพยากรในประเทศมาก สธ.จึงได้ร่วมกับกระทรวงแรงงาน ขอรับเรื่องนี้เข้ามาดำเนินการ โดยจะเข้าไปจดทะเบียนแบบมีเงื่อนไขว่าจะได้รับบริการสาธารณสุข หากซื้อประกันสุขภาพในราคาที่เหมาะสม คือเด็กวันละ 1 บาท จะได้รับการศึกษาฟรีด้วย ส่วนผู้ใหญ่เสียค่าประกันสุขภาพคนละ 2,200 บาทต่อปี และเพิ่มค่าตรวจร่างกายอีก 600 บาทต่อปี จะได้รับสิทธิการรักษาครอบคลุมโรคเอดส์ อนามัยแม่และเด็ก ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ14-15 บาท หรือประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของค่าแรง 300 บาทต่อวัน เป็นอัตราที่เหมาะสมตามหลักมนุษยธรรม แม้ไทยต้องเสียงบประมาณในการดูแลคนกลุ่มนี้บ้าง แต่จะเป็นผลดีต่อประเทศ ช่วยลดปัญหาทางสังคม อาชญากรรม ค่าใช้จ่ายด้านบริการสาธารณสุข รวมทั้งการควบคุมโรคต่างๆ และสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ
"การแก้ปัญหาในระยะสั้น ได้เตรียมเสนอการจัดหาที่อยู่ให้คนกลุ่มนี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นนิคม ส่วนในระยะยาว จะหารือกับกระทรวงศึกษาธิการในการปรับปรุงระบบการศึกษา โดยขอให้ผลิตบุคลากรระดับอาชีวศึกษามากขึ้น เพื่อเพิ่มคนทำงานในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม มีการปรับค่าแรงให้เกิดแรงจูงใจในการทำงาน รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาลดการใช้แรงงานจากคน โดยได้เชิญองค์กรนานาชาติ เอ็นจีโอ มูลนิธิต่างๆ มาหารือและช่วยกระตุ้นคนเหล่านี้ออกจากใต้ดิน ขึ้นมาจดทะเบียนด้วย ซึ่งองค์กรนานาชาติยินดีสนับสนุนงบประมาณสนับสนุนการกระตุ้นให้คนเหล่านี้มาลงทะเบียน เนื่องจากเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาเป็นรูปธรรมในเรื่องการต่อต้านปัญหาค้ามนุษย์" รมว.สาธารณสุข กล่าว