กทม.ยืนยันทำตามขั้นตอนขออนุมัติเงินเยียวยาน้ำท่วมของรัฐบาล “อัศวัชร์” ชี้ เป็นแผนดิสเครดิตหวังผลทางการเมือง
นายอัศวัชร์ อภัยวงศ์ ที่ปรึกษาของ นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะไม่อนุมัติเงินเยียวยาน้ำท่วมที่ กทม.ขออนุมัติเพิ่มเติมกว่า 1,100 ล้านบาท ว่า ขณะนี้กทม.กำลังเตรียมนำเรื่องเข้าหารือต่อที่ประชุมสภา กทม.เพื่อขอให้พิจารณาอนุมัติงบประมาณจำนวนดังกล่าวมาส่งมอบให้ถึงมือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุดหลังจากที่รอมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องได้รับหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลผ่านทางกระทรวงมหาดไทย เป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อน ส่วนที่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมว.มท.) ออกมาระบุว่า กทม.ทำผิดระเบียบขั้นตอนการเบิกจ่ายทำให้ไม่สามารถอนุมัติงบเยียวยาเพิ่มเติมจำนวน 1,100 ล้านบาท ให้ได้นั้น ยืนยันว่า ที่ผ่านมา กทม.ได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนด อีกทั้งยังส่งเรื่องให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะหน่วยงานหลักให้ความเห็นชอบเสนอขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมอีก 1,100 ล้านบาท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมาแล้วด้วย
“กทม.ขอชี้แจงว่า หลังจากที่เราได้รับเงินก้อนแรกจากรัฐบาลมาประมาณ 1,900 ล้านบาท เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนผู้ประสบภัยนั้น ปรากฏว่า มีส่วนที่เหลืออยู่อีกประมาณ 700 ล้านบาทเศษ ขณะที่รัฐบาลได้อนุมัติขยายเวลาเปิดรับเรื่องให้กทม.ซึ่งเมื่อครบกำหนดปรากฎว่ามีจำนวนชาวบ้านที่ตกหล่นอีกกว่า 1 แสนราย ซึ่งต้องใช้งบอีกกว่า 1,800 ล้านบาท ทำให้ กทม.ยังขาดเงินส่วนนี้อีกประมาณ 1,100 ล้านบาท ซึ่งก็ได้ขอไปตามขั้นตอนและท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเองก็ยังประสานแจ้งด้วยตัวเองมาว่ารับทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว กทม.จึงได้แจกเฉพาะในส่วนที่มีอยู่ 700 กว่าล้านบาท ให้ถึงมือพี่น้องประชาชนไปก่อนตามนโยบายรัฐบาล” นายอัศวัชร์ กล่าว
นายอัศวัชร์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทย เห็นว่า พื้นที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่พื้นที่ฐานเสียงหลัก จึงจงใจที่จะหาเรื่องถ่วงเวลา พร้อมกับให้ ส.ส.พาคนมาชุมนุมปิดถนน และกดดันผู้ว่าฯ กทม.เป็นการดิสเครดิต กทม.ที่มาจากคนละพรรค เพื่อเป็นการทำลายคู่แข่งทางการเมืองแทน โดยใช้ประโยชน์ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเครื่องมือ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ม็อบต้องเดินทางไปปิดถนนหน้ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือหน้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ใช่ที่หน้าเขต หรือหน้า กทม.เช่นเหตุการณ์ที่ผ่านมา
นายอัศวัชร์ อภัยวงศ์ ที่ปรึกษาของ นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะไม่อนุมัติเงินเยียวยาน้ำท่วมที่ กทม.ขออนุมัติเพิ่มเติมกว่า 1,100 ล้านบาท ว่า ขณะนี้กทม.กำลังเตรียมนำเรื่องเข้าหารือต่อที่ประชุมสภา กทม.เพื่อขอให้พิจารณาอนุมัติงบประมาณจำนวนดังกล่าวมาส่งมอบให้ถึงมือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุดหลังจากที่รอมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องได้รับหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลผ่านทางกระทรวงมหาดไทย เป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อน ส่วนที่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมว.มท.) ออกมาระบุว่า กทม.ทำผิดระเบียบขั้นตอนการเบิกจ่ายทำให้ไม่สามารถอนุมัติงบเยียวยาเพิ่มเติมจำนวน 1,100 ล้านบาท ให้ได้นั้น ยืนยันว่า ที่ผ่านมา กทม.ได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนด อีกทั้งยังส่งเรื่องให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะหน่วยงานหลักให้ความเห็นชอบเสนอขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมอีก 1,100 ล้านบาท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมาแล้วด้วย
“กทม.ขอชี้แจงว่า หลังจากที่เราได้รับเงินก้อนแรกจากรัฐบาลมาประมาณ 1,900 ล้านบาท เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนผู้ประสบภัยนั้น ปรากฏว่า มีส่วนที่เหลืออยู่อีกประมาณ 700 ล้านบาทเศษ ขณะที่รัฐบาลได้อนุมัติขยายเวลาเปิดรับเรื่องให้กทม.ซึ่งเมื่อครบกำหนดปรากฎว่ามีจำนวนชาวบ้านที่ตกหล่นอีกกว่า 1 แสนราย ซึ่งต้องใช้งบอีกกว่า 1,800 ล้านบาท ทำให้ กทม.ยังขาดเงินส่วนนี้อีกประมาณ 1,100 ล้านบาท ซึ่งก็ได้ขอไปตามขั้นตอนและท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเองก็ยังประสานแจ้งด้วยตัวเองมาว่ารับทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว กทม.จึงได้แจกเฉพาะในส่วนที่มีอยู่ 700 กว่าล้านบาท ให้ถึงมือพี่น้องประชาชนไปก่อนตามนโยบายรัฐบาล” นายอัศวัชร์ กล่าว
นายอัศวัชร์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทย เห็นว่า พื้นที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่พื้นที่ฐานเสียงหลัก จึงจงใจที่จะหาเรื่องถ่วงเวลา พร้อมกับให้ ส.ส.พาคนมาชุมนุมปิดถนน และกดดันผู้ว่าฯ กทม.เป็นการดิสเครดิต กทม.ที่มาจากคนละพรรค เพื่อเป็นการทำลายคู่แข่งทางการเมืองแทน โดยใช้ประโยชน์ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเครื่องมือ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ม็อบต้องเดินทางไปปิดถนนหน้ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือหน้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ใช่ที่หน้าเขต หรือหน้า กทม.เช่นเหตุการณ์ที่ผ่านมา